จากกรณีที่อดีตนักแสดง ธีร์ ภูมิธนะวัชร์ บุญลือประดิษฐ์ ออกมายอมรับว่า โกหกเรื่องเงินบริจาค ปกปิดเงิน 8 ล้าน โอนเข้าบัญชีแฟน เผยแฟนเป็นผู้ชาย คบมา 3 ปี สาเหตุที่ไว้ใจ เพราะตั้งแต่ป่วยก็มาช่วยเหลือดูแลตลอด หยุดรับบริจาคแล้ว เตรียมโอนเงินกลับ ไว้ให้แม่กับตัวเองใช้นั้น (ข่าว ‘ธีร์’ อดีตดาราล้มป่วย เผยยอดบริจาค 8ล้าน นำเงินไปใช้หนี้-ให้แฟนหนุ่มเก็บ โต้ข่าวซื้อบ้าน-รถ ) จนทำให้เกิดข้อวิพากษณ์วิจารณ์มากมายนั้นถึงความไม่เหมาะสมนั้น
ล่าสุด นคร ชมพูชาติ ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชน สภาทนายความฯ ได้ให้สัมภาษณ์กับมติชนออนไลน์ถึงกรณีนี้มาว่า
มีการขอรับบริจาคเงิน อาจจะด้วยเหตุผลของการเจ็บป่วยหรืออื่นๆ จากนั้นก็เกิดข้อสงสัยว่าคนที่ได้รับบริจาคอาจนนำเงินไปใช้วัตถุประสงค์ ไม่เหมือนกับตอนขอรับบริจาค ในกรณีนี้ถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องไหม?
“ประเด็นสำคัญคือต้องดูว่าเจตนาเขามีมาตั้งแต่แรกหรือเปล่า ที่จะเอาเงินไปใช้ทางอื่น ไม่ใช้ตามที่เขาบอกกล่าว ถ้าเขาเรี่ยไรโดยแสดงออกว่าเดือดร้อน คนที่ให้ ก็ให้เพราะเขาเดือดร้อน แต่ถ้าเขาไม่ได้ใช้ตามนั้น ก็เท่ากับว่าเขาหลอกลวง หากก็แล้วแต่เจ้าของเงิน ถ้ามีความชัดเจน มีหลักฐานว่าเงินจำนวนนี้ เขาเป็นคนโอนให้ เขาขอคืนก็ได้”
*ถ้ามีหลักฐานสามารถขอคืนได้?
“ใช่ แต่ว่าอันนี้เป็นเรื่องทางแพ่ง แต่ว่าในการดำเนินการถือว่าเขาหลอกลวงใช้กลอุบาย เพื่อให้ได้เงินมาไหม อันนี้ก็ต้องพิสูจน์กัน”
*ในกรณีที่เจ้าตัวออกมาร้องไห้ หรือบอกว่าเดือดร้อน ไม่ได้ประกาศขอรับบริจาค แต่มีคนนำเงินมาให้เอง?
“เหมือนกันครับ แสดงออกอย่างนั้น สุดท้ายแล้วเพื่อที่จะให้คนช่วยเหลือ สิ่งที่เขาทำ ถ้าเขาไม่ได้เดือดร้อนจริง คือเขาหลอก ให้คนหลงเชื่อ จนเอาเงินให้ มันก็คือกลอุบายอย่างหนึ่งในการหลอกลวงเพื่อเอาเงิน”
“ยิ่งถ้ามาโพสต์ขอรับบริจาคในออนไลน์ เขาอาจโดนพรบ.คอมพิวเตอร์ก็ได้นะ แจ้งข้อความอันเป็นเท็จ ให้ข้อมูลเป็นเท็จจนเกิดความเข้าใจผิด”
“แต่ขออย่างนี้ชี้ชัดยาก ต้องดูเจตนาเป็นกรณีไป”
*อย่างนั้นแล้วจะให้คำแนะนำกับคนทั่วไปที่เจอเรื่องเหล่านี้อย่างไร?
“ก็ต้องพิจารณากันหน่อยนะ ถ้าจะบริจาคเงินให้ใคร ต้องรอบคอบ เดี๋ยวนี้ไม่เหมือนสมัยก่อน สมัยนี้มีกรณีแบบนี้เยอะ คนที่บริจาคต้องเอาให้แน่ใจก่อน”
