‘เอกราช สุวรรณภูมิ’ เผยจุดสูงสุดของชีวิตซื้อรถ 30 คัน-มีแม่ยกติดต่อขอเลี้ยงดู จนถึงจุดต่ำสุดต้องกลับบ้านไปทำนา

เคยมีเพลงสุดฮิตอย่าง ‘กระเป๋าแบนแฟนทิ้ง’ มาแล้ว สำหรับ นักร้องลูกทุ่ง เอกราช สุวรรณภูมิ ที่ล่าสุดมาเปิดเผยเรื่องราวชีวิต ในรายการ คุยแซบSHOW หลังโด่งดังมีเงินทองมากมาย แต่หลงผิดฟุ่มเฟือย ทำธุรกิจมีแต่ขาดทุนจนเกือบหมดตัว จากชีวิตที่เคยสุขสบายต้องกลับไปทำนา โดยตอนนี้ได้เปลี่ยนชื่อเป็น เอกราช หนองงูเห่า แล้วด้วย ก่อนจะเล่าถึงความดังในยุคก่อนให้ฟังว่า

“ดังมาก ดังถึงขนาดไปโชว์ตัวเมืองนอกเลยดีกว่า ไปเมืองนอกบ่อย สวิสเซอร์แลนด์ เดนมาร์ก ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย อเมริกา ไปหมดครับ เดินสายเลยครับ ถ้าไปเมืองนอกเค้าจะเล่นศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ไปครั้งนึงก็ 1 เดือน เดือนนึงก็ 12 งาน งานละ 200,000 ในสมัยโน้นนะครับ”

“เมื่อสมัยกระเป๋าแบนดังๆ ผมไปโชว์ที่พัทยา เป็นอาหารใหญ่ของพัทยา พอโชว์เสร็จปุ๊ป ขับรถออกมาติดไฟแดง ฝรั่งผู้ชาย วิ่งออกมา เรียกผม เอกราชๆๆ เคาะ มาขอลายเซ็น เขาพูดภาษาไทยได้ เขาก็พูดว่า กลับมาทำไม ฉันลืมเธอไปหมดแล้ว ผมต้องเซนต์ให้เขา ไม่อย่างนั้นเขาก็เคาะอยู่อย่างนั้น แล้วแฟนเขาที่เป็นคนไทยก็มาจูงมือดึงออกไป เราภูมิใจนะครับเป็นคนไทยแล้วมีชื่อเสียงที่ต่างชาติชอบ และเขาก็ร้องเพลงเราได้”

ดัวถึงขั้นมีแม่ยกมาทุ่มเงินขอเลี้ยง ขอดูแล “คือจริงๆสมัยนู้นที่มีชื่อเสียงก็มีแบบนี้เข้ามา อยากให้บ้าน อยากให้รถ”

Advertisement

“ตอนนั้นเราพอหาได้ วันนึงเราก็หาได้แล้วแสนสองแสน เราก็เอาของเขาแล้วมันจะมีปัญหาช่วงนั้นชื่อเสียงเราพอมีเราพอหาเงินได้ เลี้ยงดูนี่คือเขาจะแบบดูแลไปเลย ไปอยู่กับเขาเลย ซึ่งมันไม่ใช่เราก็ไม่ได้รับตรงนั้นไป 2-3 คน”

เมื่อถามถึงความผิดพลาดที่เจ้าตัวบอกว่าอยากเป็นอุทธาหรณ์ให้ศิลปินทุกคนควรระวัง

“เราเด็กบ้านนอกคนนึงพอมีเงินล้านก็อยากได้ อยากทำนั่นนี่ อยากจะขี่รถคันแพงๆ โดยที่ไม่คิด พอเลยจะบอกว่าศิลปินถ้ามีเงินหรือดังทุกวันนี้ต้องระวังให้ดี ต้องเก็บ เพราะเราพลาดมาแล้ว ไม่อยากให้เจอเหมือนเราที่เราพลาดมา”

Advertisement

“พอเรามีชื่อเสียง มีเงินฝากนี่เป็นไม่รู้หลักหลายล้าน แล้วเราก็แบบจะทำอะไรดี ไปเปิดร้านอาหารไหม หรือจะปลูกมันสำปะหรัง แต่เราเอาไปซื้อรถ ผมเล่นรถมาแล้ว 30 คัน ซื้อเปลี่ยนๆ เบนซ์ บีเอ็ม หลายยี่ห้อ แล้วเงินเราหมดกับรถทีล้าน ทีละสี่แสน ทีละสามแสน ขับคนเดียวครับเพราะผมเป็นคนชอบรถมาก”

“ปลูกมันสำปะหรังขาดทุนเป็นล้าน ทำประมาณปีกว่าสองปีครับ หยุดไปสักพักได้เงินมาอีกก็ไปเปิดร้านอาหารบูมมากครับช่วง 2-3 ปี แต่พอเข้าปีที่สี่เรื่อยมาขาดทุนทุกเดือน ไม่มีเวลาไปดูทุกวัน เดือนนึงเข้า 2 ครั้งแต่ให้พี่น้องดู ขาดทุนไปเรื่อยๆ หมดไป 2 ล้านกว่าก็ต้องปิดไป”

รวมไปถึงธุรกิจอื่นๆ ที่ขาดทุน จนถึงช่วงตกต่ำของชีวิตที่เงินเหลือไม่ถึงหลักล้าน งานเพลงก็เงียบหาย จึงตัดสินใจกลับบ้านไปทำนาอยู่ 6-7 เดือน

“ไปทำนา 6 เดือนไม่ไหวแสบหลังร้อน หน้าขึ้นฝ้าเลย คิดถึงตอนร้องเพลงขึ้นมาเลย”

“ตอนเด็กเราเป็นนักร้องมาเลย เราไม่เคยเหนื่อย เราไม่เคยทำนา เราไม่เคยแบกหาม เรามีชื่อเสียงปุ๊ปมันก็สบายมาตลอด พอเรากลับไปทำตรงนั้นมันรู้สึกทรมานมาก เหนื่อยตากแดดตากลม แบบขนาดนี้เลยหรอ จน 3 ปีที่ทนมา ผมยังเหลือทุนอยู่นิดนึง ก็เลยมาร้องเพลงอีกรอบ ทำเองเลยคราวนี้”

“ทุกอย่างเราลงทุนหมดไม่เคยได้กำไรมีแต่ขาดทุน หาเงินได้มาแสนสองแสนไม่ได้หาง่ายๆต้องเสี่ยงขับรถตลอนๆตามท้องถนนกว่าจะได้มา กลับดึกดื่น พักผ่อนไม่เพียงพอ มันเหนื่อย มันล้า มันท้อ ช่วงนั้นบริษัทเพลงก็ปิดตัวไปหลายที่ เพลงลูกทุ่งก็หายไปพักนึง พี่ก็ไปอยู่บ้านนอก ไปอยู่กับพ่อแม่ก็ทำนาปลูกผัก”

ยอมรับว่าเคยถึงขั้นน้ำตาตกใน “เราเป็นลูกผู้ชายก็จริง แต่น้ำตามันจะอยู่ข้างในมากกว่า มันจะไม่ร้องให้ใครเห็น แต่ถ้าคนเดียวร้อง เราบอกกับตัวเองว่าคนเราเป็นแบบนี้หรอ ขึ้นจนสุดแล้วตกจนสุดเลยหรอ”

“แต่เราก็คิดว่าเรามีพ่อมีแม่พี่น้องที่ให้กำลังแรงใจ พี่น้องทั้งหมด 12 คน แล้วช่วงที่ผมมีชื่อเสียงพี่น้องผมช่วยแทบทุกคน ผมดูแลพ่อกับแม่จนพ่อกับแม่ไม่อยู่ต้องพามาหมอที่รามคำแหงแทบทุกเดือน เราก็ยังมีบุญวาสนา เราเลยกลับขึ้นมาอีกรอบนึง มาเป็นนักร้องอีกรอบนึง”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image