เซ็กซ์ของบรรพชนไทย ไม่ใช่เรื่องลึกลับสำหรับเด็ก

ย้อนเวลากลับไปไม่ไกลเพียงทศวรรษที่ 1950 (พ.ศ.2493) หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่กี่ปี เด็กไทยที่เติบโตขึ้นมาไม่เคยรู้สึกว่า เรื่องเพศเป็นเรื่องซ่อนเร้น ต้องปิดบัง แต่รู้ว่าเป็นเรื่องขึ้นอยู่กับกาลเทศะ รับรู้อย่างควรแก่วัยการละเล่นสันทนาการประเภทต่างๆ ในที่สาธารณะ เป็นช่องทางเรียนรู้ที่สำคัญ ความแก่อ่อนของการแสดงออกเรื่องเพศผ่านการละเล่นของแต่ละภาค ขึ้นกับเวลา สถานที่ และวุฒิภาวะของสังคมนั้นๆ

ลำตัดที่ให้รสชาติถูกอกถูกใจ หญิงชายต่อปากต่อคำด้วยสำนวนปากคอเราะราน สองแง่สองง่าม หนังตะลุงที่ยิ่งดึกก็ยิ่งทะเล้นทะลึ่งตึงตังด้วยเรื่องใต้สะดือ ฯลฯ ทำให้เด็กชายมีเรื่องเล่าชวนหัวในห้องเรียน ครื้นเครงกันไปเป็นสัปดาห์ นอกเหนือเรื่องสนุกสนานอื่นๆ ในชีวิตประจำวัน

แน่นอน ถึงอย่างไรเรื่องเหล่านี้ก็ยังเป็นเรื่องของเด็กชาย มิใช่เด็กหญิงที่ถูกปลูกฝังให้ระมัดระวังความคิด การแสดงออก ไม่ว่าเรื่องใดๆ อย่าว่าถึงเรื่องเพศ

แล้ววันหนึ่ง-วันหนึ่งจริงๆ ไม่เคยมีใครรู้ และไม่เคยมีผู้ใดค้นคว้าวิจัยว่ามาได้อย่างไร ทำไมจึงมาได้ในเวลานั้น เมื่อหนังสือปกขาวมาปรากฏในห้องเรียน ความมหัศจรรย์ของเรื่องเพศ จากขั้นเรื่องเล่าตลกคะนอง กระโดดสู่ระดับการรับรู้อันพิสดารพันลึก

Advertisement

บ้างว่าแอบเม้มมาจากพี่ชาย บ้างว่าเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนส่งให้ต่อๆ กันมา ฯลฯ หนังสือนำทางการเรียนรู้อันพิสดารนี้ เปิดโลกทางเพศสู่ความเป็นจริงของการรู้เรื่องปฏิบัติ

เรื่องเพศสำหรับเด็กไทยมิใช่เรื่องลึกลับเลย ไม่ได้ขึ้นกับการศึกษาในห้องเรียน (ที่ยังล้าหลัง) ไม่ได้ขึ้นกับการไม่ยอมรับของสังคมว่าเรื่องนี้ต้องให้การศึกษา ที่ทำให้ทั้งเด็กผู้หญิงและชาย แต่ไหนแต่ไร ต้องเรียนรู้เรื่องเพศจากช่องทางผิดกฎหมาย

เรียนรู้จากสิ่งพิมพ์ที่ไม่ได้รับการยอมรับ เรียนรู้จากสถานที่มั่วสุม ดิสโก้เธค ไนต์คลับ ผับ บาร์ ยามค่ำคืน จนเรียนรู้จากคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน กระทั่งอัตราการทำแท้งเถื่อนสูงลิบลิ่ว และทารกเกิดก่อนวัยอันควรจากแม่วัยเรียน เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่เข้าใจว่า การป้องกันคือการเรียนรู้

เข้าใจผิดมหันต์กันว่า การสอนเพศศึกษาคือชี้โพรงให้กระรอก ที่กระรอกต่างพากันหัวเราะหึๆ ในความเขลาของการไม่รู้จักตัวเอง และไม่รู้จักธาตุของมนุษย์

เรื่องเพศในสังคมไทยไม่ใช่เรื่องผิดบาป ความคิดนี้มาจากฝรั่ง ฝรั่งอะไร ค้นเรียนได้ไม่ยาก ที่เห็นว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องต้องห้าม ห้ามแม้จนความคิด โดยเฉพาะสตรี ที่ถึงกับต้องสารภาพบาป เพียงกระหวัดนึกถึงเรื่องเพศขึ้นมา

เรารับความคิดนี้มาได้อย่างไร เมื่อไหร่ ให้บรรดาชนชั้นสูงนำมาครอบงำผู้คนแบบไหน นักการศึกษาน่าจะให้คำตอบได้

อย่าว่าแต่สังคมพยายามปกปิด ซึ่งกฎหมายตามไม่ทันพฤติกรรมมนุษย์เช่นสังคมไทย แม้สังคมเปิดและอารยะเช่นญี่ปุ่นซึ่งคนอ่านหนังสือมากที่สุดในโลก ทั้งสอนเพศศึกษา และมีอุตสาหกรรมหนังโป๊ใหญ่โตอยู่ในสามอันดับแรกของโลก ก็ยังมีปัญหาแม่ในวัยเรียน

ดังนั้น จะรอถึงเมื่อไหร่ ใครที่รับผิดชอบการเจริญเติบโตทั้งความคิดและจิตใจของเยาวชน จึงจะเข้าใจและตระหนักว่า การเรียนรู้เรื่องเพศมิใช่เรื่องลามกอนาจาร ที่ต้องห้ามพูดถึง

การเรียนรู้และทำความเข้าใจกับเรื่องนั้นให้กระจ่างต่างหาก คือการสร้างภูมิคุ้มกัน

“เซ็กซ์ดึกดำบรรพ์ของบรรพชนไทย” หนังสือเล่มกะทัดรัดของ “สุจิตต์ วงษ์เทศ” แม้มิใช่เนื้อหาปัจจุบันทันด่วน แต่เป็นรากฐานความเข้าใจในที่มาของความคิดและพฤติกรรมมนุษย์ เข้าใจว่า เซ็กซ์มิใช่เรื่องน่าชิงชังรังเกียจ โดยเฉพาะศาสนาผีที่อยู่ในอำนาจของผู้หญิง

พยานหลักฐานต่างๆ เกี่ยวกับเซ็กซ์ดึกดำบรรพ์ที่พบในไทย ไม่ถูกซ่อนเร้น ไม่เป็นความลับ

แต่เพราะไทยไม่เคยมีประวัติศาสตร์สังคม เลยไม่มีคำอธิบายในประวัติศาสตร์ไทย เรื่องวิถีชีวิตผู้คน โดยเฉพาะเรื่องเพศ เรื่องเซ็กซ์

หนังสือ 150 หน้า อุดมด้วยภาพสำคัญประกอบเนื้อหาเล่มนี้ ยืนยันประเด็นดังกล่าวให้เห็นก่อน ด้วยภาพสลักผนังถ้ำภูผายนต์ อายุ 2,500 ปีที่สกลนคร ในความหมายเดียวกับจิตรกรรมร่วมเพศฝาผนังวัด ที่ทั้งซาบซึ้งและครื้นเครงแก่พุทธศาสนิกชน และตื่นตาน่าทึ่งน่าตื่นใจแก่ศาสนิกชนอื่นๆ

ใน 6 ภาคสำคัญของหนังสือ เซ็กซ์เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม กิน ขี้ ปี้ นอน, วัยเจริญพันธุ์มิใช่ชิงสุกก่อนห่าม, แม่หญิงผู้เป็นใหญ่, ร่วมเพศ พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์, อยู่ก่อนแต่ง ประเพณีดั้งเดิม, บริการทางเพศ

ผู้เขียนเสนอความรู้และความคิดด้วยรูปแบบเรียบง่าย เช่นเคย ด้วยเนื้อหาสั้นๆ ทีละประเด็น ทำความเข้าใจกับผู้อ่านสืบเนื่องไปทีละเปลาะ จนแต่ละภาคกระจ่างจากหลักฐานข้อมูลกำกับ

จากที่เริ่มทำความเข้าใจกับผู้อ่านเรื่องเพศเรื่องเซ็กซ์ มาถึงประเด็นชิงสุกก่อนห่าม ที่บรรดาคุณหญิงคุณนายซึ่งเคยมีบทบาทในสังคมยุคหนึ่ง เกรงนักว่าเป็นเรื่องชี้โพรงให้กระรอก ผู้เขียนยกตัวอย่างพื้นวัฒนธรรมจากวรรณคดีมาประกอบ ให้เห็นภาพวัยรุ่นอยุธยาอยากมีผัว ด้วยบทนางมโนห์ราทะเลาะกับแม่ ว่ากันรุนแรง แสบร้อน ถึงอกถึงใจผู้คนมาจนเดี๋ยวนี้

จะได้เข้าใจว่า มนุษย์ไม่ว่ายุคไหน สมัยใด รัก โลภ โกรธ หลง ราคะ ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

จะได้เข้าใจว่า การทำความเข้าใจตนเอง การมองดูที่มาเพื่อจะเข้าใจที่ไปนั้น จำเป็นยิ่งยวด

จะได้รู้ว่า ดอกทองมีมานานถึง 500 ปีแล้ว จะได้เข้าใจความคิดควบคุมสตรี เห็นภาพสตรีในอำนาจบุรุษ เข้าใจสุภาษิตสอนหญิง และเห็นแง่มุมการเยาะเย้ยสุภาษิตสอนหญิง

และอย่างไร แม่จึงอยู่ในฐานะผู้เป็นใหญ่

นอกจากนี้ จะได้เข้าใจที่มาและความหมายของ อวัยวะเพศหญิง อวัยวะเพศชาย พรหมจรรย์ พรหมจารี ประจำเดือน ทำไมน้ำเต้าจึงเป็นพืชศักดิ์สิทธิ์ของคนทั้งโลก เพราะเหมือนมดลูกหรือ

เทียน หรือปลาช่อน เป็นอวัยวะเพศชายอย่างไร ครกกับสาก ร่วมเพศกันมาแต่เมื่อไหร่ เคยได้ยินไหมว่า มีเซ็กซ์กันหน้าศพเพื่ออะไร มีใครไม่อยากรู้เรื่องราวเหล่านี้ เพื่อเข้าใจวิถีตัวเอง

การอยู่ก่อนแต่งซึ่งเคยเป็นประเด็นมาเมื่อสามทศวรรษก่อน มีมาแล้วแต่โบราณ มีมาอย่างไร ยืนยันด้วยหลักฐานใด มีแต่ต้องอ่านเพื่อเรียนรู้วิธีการศึกษาอีกหลายลักษณะว่า สิ่งที่เราเคยเห็นอยู่ตรงหน้า แต่ไม่เคยรู้ว่ามีคำตอบนานาอยู่ในสิ่งนั้น เป็นเรื่องสำคัญที่วิธีคิดอ่านในการเรียนการสอนต้องเปลี่ยนแปลง ไม่เช่นนั้น สังคมจะตกหล่นสิ่ง

มีคุณค่ามาแต่เดิมไปมากมาย เช่น การไม่เคยเรียนรู้สังคมจากตำนานและวรรณคดี เป็นต้น

ประเด็นหญิงเป็นนาย ชายเป็นบ่าว มาจนถึงเรื่องซ่องและโสเภณี จะช่วยให้เราคิดเรื่องชายหญิงอีกหน คิดเรื่องการเอาเปรียบทางเพศ การหยาบหยามทางเพศ ในปัจจุบัน คำเยาะเย้ยว่าหน้าตัวเมีย ไปเอาผ้าถุงแม่มานุ่ง เป็นเรื่องที่ผู้ชายต้องคิดใหม่

และการเรียกร้องสิทธิสตรี สมควรไหมที่อดีตนายกรัฐมนตรี อดีตผู้นำพรรคการเมือง ปชป. ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช จะมีความเห็นว่า เป็นเรื่องผู้หญิงอยากมีหนวด

ความรู้เรื่องเพศ เพศสภาพ สารพัดสารพันเกี่ยวกับเพศในสังคมไทย ควรจะเริ่มวางขั้นตอนวิธีการเรียนการสอนใหม่ ให้เหมาะกับโลกที่ไปไกลเกินกว่าการศึกษาไทยจะตามทันแล้ว เพื่อภูมิรู้ในอนาคตของเราเอง ไม่เช่นนั้น สังคมก็ยังเกรอะกรังอยู่กับความคิดล้าหลังต่างๆ ที่ทำให้บุคลากรไม่สง่างาม ด้วยทรรศนะและตรรกะเหลวไหลนานาอย่างที่เห็นและได้ยินกัน

“แต่ก่อนจะก้าวกระโดด ต้องรู้จักก้าวแรกของบรรพชนเป็นปฐม”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image