‘The Legend of Tarzan’ ครึ่งแรกน่าเบื่อ แต่ครึ่งหลังระทึกใจ

เป็นเวลานานหลายปีที่เรารู้จักวีรบุรุษแห่งป่าเขานามว่า “ทาร์ซาน” ครั้งนี้เขากลับมาอีกครั้งเพื่อเล่าขานตำนานแห่งตนให้กึกก้องทั่วพงไพรใน The Legend of Tarzan : ตำนานแห่งทาร์ซาน ผลงานกำกับของ เดวิด เยทส์

หนังเล่าเรื่องหลัง ‘ทาร์ซาน’ ออกจากป่าดงดิบในแอฟริกามาใช้ชีวิตคนเมืองในฐานะ ‘จอห์น เคลย์ตัน’ หรือลอร์ดเกรย์สโตค กับ ‘เจน’ ผู้เป็นภรรยา วันหนึ่งเขาได้รับเชิญให้กลับไปยังคองโกเพื่อทำหน้าทูตการค้าให้รัฐบาล โดยหารู้ไม่ว่าตนเองกำลังเป็นหมากในแผนการอันตรายที่เกิดจากความโลภของ ‘ลีออน รอม’ กัปตันชาวเบลเยียม ที่ใช้ความแค้นของ ‘มบองก้า’ หัวหน้าชนเผ่าในป่าดงดิบที่มีต่อทาร์ซานเป็นเครื่องมือ

ทาร์ซานในเวอร์ชั่นนี้จึงแตกต่างออกไปจากเรื่องราวดั้งเดิมที่เราคุ้นเคย เพราะไม่ได้บอกเล่าถึงชีวิตของเขาเพียงคนเดียว แต่ยังหยิบเอาประเด็นที่เคยเกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์อย่างเรื่อง การค้าทาส มาผสมผสานได้อย่างลงตัว ถึงอย่างนั้น หนังก็ยังไม่ลืมที่จะเล่าความเป็นมาของเขาด้วยการตัดสลับภาพในอดีตเป็นครั้งคราว ซึ่งอาจเรียกได้ว่านี่เป็นหนังภาคต่อที่มาเติมเต็มเรื่องราวของเขาให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

4

Advertisement

ด้านการเล่าเรื่องเป็นไปอย่างไม่รีบร้อน โดยในช่วงต้นค่อนข้างช้าเพราะใช้เวลาปูเนื้อเรื่องให้คนดูได้ทำความเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ช่วงนั้นอาจรู้สึกน่าเบื่อไปสักนิด แต่เมื่อหนังผ่านครึ่งแรกไปความสนุกก็กลับมา โดยสีสันของเรื่องต้องอยู่ที่การต่อสู้ระหว่างทาร์ซานและเหล่าสัตว์ป่า ที่ตื่นเต้น ชวนลุ้นระทึก แถมการใช้คอมพิวเตอร์กราฟฟิกเนรมิตรสัตว์และผืนป่าก็ทำได้อย่างสวยงามสมจริง ดูแล้วรู้สึกเหมือนเราหลุดเข้าไปหลงอยู่ในดินแดนนั้น

3

ส่วนการกลับมาของทาร์ซานครั้งนี้ เขาไม่ใช่หนุ่มเจ้าป่าที่ดูคึกคักเหมือนแต่ก่อน แต่หนังปูทางและสร้างคาแร็คเตอร์ให้เขาดูเป็นหนุ่มอมทุกข์ที่มีอดีตอันโหดร้าย ซึ่ง อเล็กซานเดอร์ ซาร์สการ์ด ที่มารับบทนั้น ก็สามารถถ่ายทอดอารมณ์อันขุ่นมัวผ่านทางแววตาได้อย่างชัดเจน อีกทั้งเรายังได้เห็นศักยภาพทางร่างกายที่ดูแข็งแรงสมกับเป็นเจ้าป่า นับว่าเป็นสิ่งดีงามที่ช่วยสร้างอรรถรสได้ดียิ่ง

Advertisement

1

สิ่งที่ประทับใจ คือการใช้ภาษากายสื่อสารระหว่างคนกับสัตว์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของธรรมชาติ แม้ต่างเผ่าพันธ์ ต่างลักษณะ ก็สามารถอยู่ร่วมกันได้โดยความเข้าใจถึงตัวตนของกันและกัน มากไปกว่านั้น หนังยังชวนให้กลับมาคิดทบทวนด้วยว่า ทุกวันนี้เราเบียดเบียนธรรมชาติมากไปหรือเปล่า

แม้มนุษย์จะเป็นผู้ใฝ่หาและสรรค์สร้างความเจริญเพื่อชีวิตและความอยู่รอด แต่ในขณะเดียวกันมนุษย์ก็เป็นผู้ทำลาย ซึ่งไม่ใช่แค่ผืนป่าหรือสิ่งมีชีวิตต่างเผ่าพันธ์ แต่ยังทำลายมนุษย์ด้วยกันเอง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image