‘ศิรินทรา นิยากร’ เผย แอ๊ด คาราบาว เคยตามจีบ-ช้ำรักเป็นเมียน้อยไม่รู้ตัว

ศิรินทรา นิยากร อดีตนักร้องลูกทุ่งชื่อดัง ได้มาเปิดใจ ผ่านทางรายการ คุยแซ่บShow ทางช่อง one31 ถึงชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร ทำวงดนตรีขายทุนเป็นล้าน จนคิดสั้นฆ่าตัวตาย อีกทั้งเป็นคนที่ไม่สมหวังเรื่องความรักเกือบตกเป็นเมียน้อยแบบไม่รู้ตัว

เป็นนักร้องลูกทุ่งที่โด่งดังมากๆ แต่ว่าเคยประกวดเวทีลูกทุ่งแล้วตกรอบ?

ตอนนั้นหลังจากประกวดลูกกรุงได้แล้ว เราก็อยากจะก้าวไปอีกขั้น มันเป็นการท้าทายมากกว่า ก็เลยไปประกวด เสร็จแล้วก็เข้ารอบมาที่รายการ ชุมทางคนเด่น ปรากฎว่าตกรอบ

ถึงจะตกรอบ แต่ก็ได้เป็นนักร้องลูกทุ่ง ชีวิตมันมายังไง?

Advertisement

วันนั้นที่ประกวดเสร็จปุ๊บ หนึ่งในคณะกรรมการเรียกไปหา เราก็ไม่รู้จักว่าคือใคร เขาก็ถามว่าลูกทำอะไรอยู่ เราก็บอกว่ากำลังเรียนหนังสือ เขาก็บอกว่าเอ็งกลับไปเรียนเถอะ อย่ามายุ่งกับวงการนี้อีกเลยนะ แล้วก็ไม่คิดว่าจะมาเป็นนักร้องอาชีพเคยมีคนมาบอกครั้งหนึ่งว่าครอบครัวเขาไม่ชอบคนเต้นกิน รำกิน แล้วคนนั้นคือเขาจีบเราอยู่ เราก็เลยบอกตัวเองว่าเราไม่ใช่นักร้องอาชีพ

แล้วเข้ามาเป็นนักร้องได้ยังไง?

หลังจากที่เราประกวดล้มเหลวแล้ว ก็เลยมาร้องห้องอาหารตอนนั้นเนี่ยมีความรู้สึกว่าอยากจะหารายได้ เดือนหนึ่งก็ต้องมีใกล้ๆ หมื่นในสมัยนั้น ก็ร้องอยู่ตรงนั้นไม่ถึงเดือนเจ้าของห้องอาหารมีหุ้นส่วนอยู่กับบริษัทเทป เขาก็เลยให้ไปเทสเสียง ในเวลานั้นเราได้เรียนการแสดงด้วย

Advertisement

มาเปรี้ยงหนักๆ เลยคืออัลบั้มชุดที่สาม?

ใช่ค่ะ คือเพลง รู้ว่าเขาหลอก ตอนนั้นที่คิดฮอตอีสาน ทางนายทุนที่ทำวงเขาบอกว่าถ้าเพลงชุดนี้ขายได้แสนม้วนจะให้ศิรินทราไปทำวง แต่นายทุนบอกว่าไม่ต้องถึงแสนม้วน สามหมื่นม้วนก็พอ ปรากฎว่าขายได้ไม่รู้กี่แสน เราก็เลยกลายเป็นนักร้องลูกทุ่งหัวหน้าวงดนตรี ตอนอายุ 19 ปี

ตอนนั้นอัลบั้มชุดสามเรายังทำวงอยู่กับนายทุนหรือเปล่า?

ใช่เดินสายอยู่ ระหว่างเดินสายก็คือ 365 วันไม่หยุดสักวัน ทำแบบนั้นอยู่ 3 ปีกว่า คือต้องขอหยุด จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่งที่เราป่วยมากๆ สุดท้ายคิวต้องยกเลิกเป็น 10 วัน มีอยู่ครั้งหนึ่งไปยืนหน้าเวทีแล้วร้องเพลงไม่ได้ ต้องเอาเก้าอี้มานั่งจนคนดูบอกว่าไม่ต้องร้องแล้วไปเถอะ คือไปพักเถอะ

การทำงานหนักแบบนี้ทำให้เป็นเหตุผลหรือเปล่าที่เราออกมาทำวงเอง?

ตอนนั้นเรามีความรู้สึกว่านายทุนเขาก็เต็มที่แต่เรามีความรู้สึกว่าพวกศิลปินต้องผลงานก่อน เราอยู่หน้าเวทีต้องการแบบสวยงาม อลังการ เรารู้สึกว่าเขาทำแล้วไม่ได้ การดูแลลูกวงก็ตามมีตามเกิดได้น้อยก็จ่ายน้อย ได้มากก็เพิ่มให้นิดหน่อย ในความคิดเราเขาเอาเปรียบเกินไปก็เลยคิดว่าเราน่าจะทำวงที่แบบมีมาตรฐานนะ ในรูปแบบบริษัทนะ คิดเยอะไง เราก็เลยอยากให้ลูกน้องเรามีความมั่นคงในชีวิต เพราะเวลาไปเดินสายกลับมาแต่ละคนต้องมาขอยืมเงินนายทุนเมื่อก่อนไปเป็นค่าเช่าบ้าน มันเป็นความรู้สึกที่อยากจะสร้างให้เขามีบ้าง แต่ปรากฎว่าก็ทำไม่รอด

มันเกิดอะไรขึ้นทำไมไม่สำเร็จ?

คือการบริหารแน่นอนว่าเราไม่รู้เรื่องเลย สมัยมีนายทุนทำวงเราแค่รับจ้าง แต่ในรายละเอียดในเรื่องของการวางโฆษณาวางคิวการแสดง การติดต่อนักแสดง ทั้งหลาย ทั้งปวง เราไม่มี คือมันไม่มีองค์ประกอบภายนอกที่มาทำให้คนอยากดู ตอนนั้นก็ทำอยู่ประมาณ 2 ปี ก็หมดอะ

ตอนนั้นหมดเกลี้ยงขนาดไหน?

ใช้คำว่าที่สร้างมาตอนดัง ที่มีอยู่ก็ลงไปกับวงหมดเลย

หลักล้านไหม?

โหถามว่าถึง 2 ล้านไหม มันเกินนั้นอยู่แล้ว เพราะมันไม่ได้หมดแค่ที่เราลงทุน ก็คือเราหามา ถ่ายโฆษณารับเชิญ ก็มาลงที่วงหมด การที่เราสร้าง เราเก็บเอาไว้ ที่มีอยู่ก็หมด

ร้องไห้บ่อยไหม?

เรื่องนี้ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีที่แล้วถ้าคุยถึงเรื่องนี้จะร้องไห้ตลอด เพราะในวัย 20 กว่าแล้วมาเจอเรื่องราวแบบนี้มันแย่มากทำไมต้องเป็นแบบนี้ ทุกวันที่ไปหลังเวที ร้องไห้ก่อนขึ้นเวทีแล้ว เพราะเราไป เราจะถามว่ามีคนไหม บางทีไม่มีคนแต่เราต้องเล่น ต้องเล่นเพราะอะไรไม่งั้นลูกน้องก็จะไม่มีกิน

มีคิดหนักถึงขั้นฆ่าตัวตายไหม?

คือมันคิดหลายเรื่องนะ คิดเลยว่าจะฆ่าด้วยวิธีอะไรดี แต่คิดก่อนไงจะผูกคอตายหรอ แล้วถ้ายิงแล้วมันไม่ตายล่ะ พิการลำบากพ่อแม่ มันก็เลยคิดไปคิดมามันทำให้เราหยุดความคิดนั้น แล้วพ่อแม่ พี่ชาย ซึ่งพี่ชายตอนที่เราดังเขาก็มาขอความช่วยเหลือเราอยู่เรื่อยๆ แล้ววันนั้นเขาไปเปียแชร์มาแล้วเอาเงินมาให้เราแล้วบอกว่าเอาไปใช้ เราก็แบบ ยังมีคนที่เขาเห็นใจเราอยู่ รู้สึกมีพลังขึ้นมา ค่อยๆ รวบรวมสติ อ่านธรรมมะ สวดมนต์เพิ่มมากขึ้น

พอยุบวงเราคิดจะไปทำอะไรต่อ?

ไม่เลยตอนนั้นกลับมาเรียนดีกว่า เพราะลึกๆ เรารู้สึกมาตั้งแต่เข้าวงการก็คือ คนมองว่าลูกทุ่งไม่มีการศึกษา เราก็เลยแบบฉันต้องเรียนให้ได้ ให้คนแบบรู้ว่าลูกทุ่งไม่ใช่แบบที่เขาคิดนะ แล้วทำให้สำเร็จ

เห็นว่ามีข่าวกิ๊กกั๊กกับแอ๊ด คาราบาว?

ตอนนั้นทีมงานหนังเขาติดต่อมาบอกว่าจะสัมภาษณ์เรื่องราวในวันนั้นเป็นยังไง ก็ยังงงพี่แอ๊ดเอาเรื่องอะไรเราไปพูดหรอ ซึ่งไม่คิดไงว่าพี่เขาจะกล้าเอาไปพูด คือตอนนั้นอยู่บริษัทเดียวกันพี่แอ๊ดทำวณิภพดังมาก แล้วทางบริษัทก็วางแนวจะให้พี่แอ๊ดไปโปรโมทตามมหาวิทยาลัย แล้วหิ้วศิรินทราไปด้วย ก็นั่งรถตู้ไปด้วยกันนี่แหละ แม่ก็ไปด้วย แม่ก็คงจะรู้ แต่เราเด็กก็รู้ว่าเขามารับ มาส่ง อะไรแบบนั้น แล้วตอนนั้นบ้านน้ำท่วมเขาขับรถฝ่าน้ำท่วมมาส่งที่บ้าน พี่แอ๊ดพูดน้อยมาก ตอนนั้นมันก็เริ่มก่อตัว พี่แอ๊ดก็จะดึงไปร้องเพื่อชีวิต แต่บริษัทไม่ให้ร้อง แต่ว่าพอเราแยกกันพี่แอ๊ดก็ไปเดินสายของเขา เราก็มีวงของเรา

เริ่มก่อตัวของพี่มันไปประมาณไหน?

ไม่ตอนนั้นเราก็เด็ก ยังไม่ได้เดินสาย อายุสิบกว่าๆ แล้วเขาเป็นคนไม่ค่อยพูด

ตอนนั้นความรู้สึกดีๆ มันมีต่อกันไหม?

มีค่ะ พี่เขาน่ารัก แล้วพี่แอ๊ดมาได้ข่าวอีกทีคือจะแต่งงาน เราก็คิดว่าพี่แอ๊ดจะแต่งงานแล้วหรอ

ตอนที่หนังเขาจะมาสัมภาษณ์เรา พี่แอ๊ดไปพูดถึงเราว่ายังไงบ้าง?

เขาก็เล่าให้ทีมงานฟังว่าเขาเคยปิ๊งพี่ เราก็แบบหรอ อะไรอย่างนี้ เราก็ไม่รู้เขาคิดอะไร เราก็ยังเป็นเด็กๆ ซึ่งไม่ได้มีอะไร แค่คนทำงานด้วยกัน

เห็นว่าเคยรอความรักเป็น 10 ปี?

อันนั้นวัยเด็ก คือวันนั้นบังเอิญเหมือนกับไม่รู้อะไรทำให้เราไปสมัครเรียนวันเดียวกัน แล้วมันเจอกัน ก็เรียนกันอยู่สักเดือนนึงแล้วเขาก็ไปสอบใหม่ติดเตรียมทหาร ก็เขียนจดหมายหากันตลอด แต่ว่าช่วงนั้นเราเดินสาย จนผ่านไป 10 ปีมาเจอเขาก็เป็นเสธฯล่ะ กลับมาเจอกันก็คิดว่าจะแต่งงานกัน คิดถึงตลอดจนเขาได้เป็นทหารก็ไปเจอกัน ทีนี่มันก็ไม่ได้ติดต่อกันโทรศัพท์มันก็ไม่สะดวก จนวันนึงที่มาเจอกันอีกที เขาจะไปแต่งงานแล้วนะ

ตอนนั้นร้องไห้ไหม?

ร้องสิ มันก็เป็นความรู้สึกดีๆ ที่เรามีกับคนคนนึง มันอยู่ในความทรงจำมากกว่า

เพราะเพลงที่บอก จะขอก็รีบขอ จะขอไม่ขอสักที?

เมื่อก่อนเราก็ไม่เชื่อนะ ตอนที่ดูหมอ มีอยู่ครั้งหนึ่งมีคนเขามาในชีวิตก็จะแต่ง ไปหาพระเลย แล้วพระบอกว่าไปเป็นเมียน้อยเขาดีกว่าลูก

พอหลุดจากผู้ชายคนนั้นชีวิตก็ต้องมาอยู่ในสถานะเมียน้อยจริงๆ?

ไม่ใช่ ไม่ได้อยู่ตรงนั้นก็เหมือนกับมีคนเข้ามาเวียนไป เวียนมา แล้วมาบอกเราว่าโสด แล้วทีนี้ของจริงเขามาตามมาถึงบ้านคือเขาบอกว่ามีแต่เขาจะเลิกกันแล้ว

มีหนักๆ มาตามทวงถึงขั้นจะแฉไหม?

เขาก็มาอาละวาด ตามมาถึงบ้าน เข้ามาในบ้านเลยนะ ตอนนั้นพ่อกับแม่อยู่ เขาก็ขึ้นบ้านไปเลย เราก็เปลี่ยนโทรศัพท์เปลี่ยนไม่รู้กี่เบอร์ก็ไปหามาได้ ด่าๆๆๆ จนวันนึงไม่ไหวล่ะ บังเอิญไปกับพี่คนนึง ก็เล่าให้เขาฟัง บอกทีว่าทราเป็นเมียพี่ เขาก็รับแล้วพูดให้ก็จบไป

เหตุการณ์แบบนี้เกิดซ้ำแล้วซ้ำอีกถึง 4 ครั้งในชีวิต ครั้งที่เจ็บที่สุดคือครั้งไหน?

คือเขารู้จุดอ่อนเรา ว่าเราเป็นคนที่อยากมีครอบครัว ซึ่งมันเป็นความคิดของเรา เขาก็ใส่มาเลย จะสร้างนั้น นู้นนี่ วางแผนนั่นนี่นู้น เราก็พยายามมองเป็นบวก แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่ ก็ต้องจบ

มีวิธีหยุดตัวเองหรือดึงตัวเองกลับมาจากความทุกข์ยังไง เพราะหลายๆ คนจมเป็นเดือนๆ ?

มีคำนึงที่แม่เคยสอน รักรู้คลาย ตายรู้ลืม คือคำนี้มันจะทำให้เรารู้สึกว่าทุกอย่างเป็นสัจธรรม มันจะเป็นอะไรที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป แล้วไม่เคยคิดเอาอะไรมาเป็นของตัวเอง แต่ในวันที่เราอยู่ตรงนั้นเราทำเต็มที่ในความเป็นตัวเรา

คิดว่าตัวเองเป็นคนอาภัพรักไหม?

โหมาก ถามว่าเข็ดไหม วันนี้ไม่ได้คิดเรื่องนี้แล้ว สมองไม่มีแล้ว

สเปคจริงๆ ชอบแนวไหน?

ชอบทหาร มันเป็นความรู้สึกตั้งแต่เด็กๆ แล้วแหละว่าเราชอบ เรารู้สึกว่าเราอบอุ่น ปลอดภัย

ไม่มีแฟนแล้วเราไม่เหงาหรอ?

ไม่เลย เรามีเพื่อน มีแฟนคลับ

มองอนาคตของเราไว้แบบไหน?

คงจะทำงานอีกสักระยะหนึ่ง แล้วอาจจะมีธุรกิจเล็กๆ ที่เป็นธรรมชาติ แล้วเดินรอยตามรัลกาลที่9 ใช้ชีวิตพอเพียง เอาชีวิตที่มีอยู่ให้กับสังคมเป็นจิตอาสา ตอนนี้ก็ดูแลคนป่วยอยู่ แจกสมุนไพรฟรี

ได้ได้ยินมาว่าอยากจะบวชตลอดชีวิตเหมือนกัน?

บวชจริงๆ ตอนนี้ก็ 2 เดือนบวชครั้งนึงอยู่แล้ว จะแวะเวียนเข้าไปตรงนั้นเพื่อให้เราได้ไปสัมผัสความเป็นธรรมชาติที่เป็นตัวของตัวเอง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image