ที่มา | นสพ.มติชน |
---|---|
ผู้เขียน | ดอกฝน |
ไม่กี่วันก่อน พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด เปิดเผยเรื่องที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขอให้ดารา นักร้อง และคนมีชื่อเสียง ละเว้นการแต่งกายวาบหวิว เพราะเชื่อว่ามีส่วนกระตุ้นให้เกิดการข่มขืน
หลังคำสัมภาษณ์ดังกล่าวที่มาพร้อมกับสิ่งที่เรียกว่า ‘ความเชื่อ’ หลายความคิดก็พุ่งเป้าไปยังประเด็นเหล่านี้ทันที
เพราะไม่ใช่แค่ความโป๊ แต่ยังมีบริบทอีกมากมายที่กลายเป็นเป้าทุกครั้งที่เกิดปัญหาอาชญากรรม หลายกรณีเห็นกันอยู่ชัดว่าโป๊ไม่โป๊ไม่เกี่ยว มันเกี่ยวที่สามัญสำนึก พื้นฐานของความเป็นมนุษย์ สำนึกที่ไม่ได้อยู่ๆก็งอกเงยขึ้นหรือขาดไร้แบบไม่มีเหตุผล แต่หลายๆอย่างเกิดขึ้นจาก ‘การหล่อหลอม’ ที่รวมถึงการสื่อสารและการรับรู้เรื่องราวต่างๆในชีวิตประจำวันด้วย
ประหลาดดีที่รายการเล่าข่าวตอนเช้ายังประณามการข่มขืน แต่ละครตอนค่ำตัวละครในหลายเรื่องกลับยังมีพฤติกรรมดังกล่าว ซึ่งไม่ใช่แค่การข่มขืน แต่เอะอะโมโหก็จับจูบ โกรธขึ้นมาก็กระชากแรงๆใส่ นี่เป็นพฤติกรรมของ ‘พระเอก’ ทั้งที่การกระทำดังกล่าวคือความรุนแรง การลวนลาม และคุกคามทางเพศ แต่ก็กลับกลายเป็นความจิ้นความฟินของดูละครซะอย่างนั้น
ศตวรรษที่ 21 แล้ว นิยายไทยที่สร้างสรรค์ได้อย่างน่าสนใจมีมากมาย ถูกหยิบยกไปทำละครดีๆก็มีไม่น้อย แต่น่าเสียดายที่ความซ้ำซากมักเกิดอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะตั้งแต่ช่องดิจิตอลบุกละครหลังข่าว การเรียกเรตติ้งด้วยเส้นเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเสมอ
’ปราณประมูล’ หรือทิพย์ธิดา ศรัทธาทิพย์ นักเขียนบทโทรทัศน์ชื่อดัง แสดงความเห็นเรื่องนี้ไว้ในเฟสบุ๊คส่วนตัวว่า เธอไม่คิดว่าละครจะทำให้ผู้ชายเกิดอารมณ์ทางเพศหรอก แต่ยุคนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรนำนิยายแนวนี้มาทำละครอีกแล้ว เพราะละครที่พระเอกใช้กำลังปล้ำนางเอก หรือมีฉากฉุดคร่า จับกระชาก จับเขย่านั้น ส่วนใหญ่ทำมาจากนวนิยายยุคที่เธอยังเป็นเด็ก คือราวปี 2470 ซึ่งสมัยนั้นนักอ่านหญิงนิยมจินตนาการว่าหญิงไทยต้องไม่อยากถูกร่วมเพศ แม้ใจจะรัก แต่มักแสดงออกตรงข้าม ถ้าไม่ถูกใช้กำลัง ผู้ชายจะไม่มีสิทธิ์ได้ทำอะไรเลย แม้แต่จะจูบก็ต้องจับจูบ ไม่เต็มใจจูบเด็ดขาด
“พลอตนิยายกลุ่มนี้ พระนางจึงต้องเกลียดกัน ถึงขั้นมีความแค้นระดับฆ่าพ่อแม่พี่น้องกันเลย และความแค้นนี้เอง ที่เป็นเงื่อนไขดึงพระนางมาอยู่ร่วมกัน อาจมีการฉุดขึ้นเกาะร้าง ขังกระท่อมกลางป่า พระเอกจริงๆคือคุณชาย นายหัว หรือเจ้าของกิจการ แต่แสร้งทำตัวถ่อยป่าเถื่อนเพื่อกลั่นแกล้งแก้แค้นนางเอก”
ยังบอกด้วยว่า ในส่วนตัวนั้น ทุกวันนี้แม้จะเขียนให้ผู้ชายจับแขนผู้หญิงกระชากก็ไม่สบายใจแล้ว เพราะจริงอยู่ที่ละครไม่ใช่ปัญหาหลัก แต่ก็ไม่อยากให้เป็นหนึ่งในปัญหา
“ถ้าใครมากระชากลากกันทุกวันนี้ก็แจ้งความจับได้แล้ว ไม่ใช่เอาแต่พูดว่า อย่านะ ปล่อยชั้น เหมือนที่กบ สุวนันท์ (คงยิ่ง) ต้องพูดไดอะล็อกนี้ในละครทุกเรื่อง อะไรที่คนเราทำแล้วไม่ดี เราก็คงไม่เขียนให้พระเอกทำอยู่แล้ว ดังนั้นการปลุกปล้ำข่มขืนก็เช่นกัน เป็นวัตรปฏิบัติที่เราอย่าให้พระเอกทำเลย คนที่ทำแบบนี้มีแต่ผู้ร้ายเท่านั้น และเมื่อทำก็ต้องรับกรรม อย่าผลิตซ้ำความรุนแรงทางเพศออกสื่อโดยฝีมือพระเอก นอกจากนำเสนอเพื่อแก้ไขปัญหาสังคม เช่น ละครที่เล่าว่าคนที่ถูกข่มขืนจะป้องกันแก้ไขเยียวยาอย่างไรแบบนี้น่าดีกว่า” ปราณประมูลอธิบาย
ในมุมของนักวิชาการด้านวรรณกรรม ผศ.ดร.พิเชฐ แสงทอง คณะมนุษยศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เขาตั้งคำถามกลับว่า สังคมแบบไหนที่หล่อหลอมให้เกิดวรรณกรรมและละครลักษณะนี้มากกว่า เพราะสิ่งใดๆ ก็ตามที่มีบทบาทหรือมีที่ทางอยู่ในสังคม สังคมนั้นย่อมต้องเออออห่อหมกกับมัน และมีวัฒนธรรมและกลไกบางอย่างในการรับรองให้มีได้
“กรณีการคุกคามทางเพศในละครและวรรณกรรม เรามองได้ 2 อย่าง อย่างแรกมันสัมพันธ์กับสถานภาพทางสังคมและวัฒนธรรมของชาย-หญิงในบ้านเรา ที่ผู้ชายยังคงเหนือกว่า การข่มขืนเป็นผลจากการที่ตัวละครผู้ชายคิดว่าตัวเองเป็นผู้มีอำนาจ ลองดู ทุกเรื่องผู้ข่มขืนมักจะมีอำนาจมากๆ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ชนชั้น เศรษฐกิจ หน้าตา และอำนาจในฐานะพระเอกฯลฯ มันเป็นการกำราบชนิดหนึ่ง ซึ่งผู้ชมจะเชื่อว่าสุดท้ายแล้ว ผู้หญิงก็ต้องยอมใน 2 ลักษณะ คือยอมโอนอ่อนผ่อนตาม คือมีเซ็กซ์ด้วย และยอมรักภักดี การยอมทั้งสองอย่างนี้สัมพันธ์กับการที่ผู้หญิงอยู่ในสถานะที่ต่ำกว่าทั้งนั้น
นอกจากนั้น ในวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่มักเชื่อว่าเป็นวิสัยธรรมชาติที่ผู้หญิงจะต้องดิ้นรนขัดขืน ความคิดแบบนี้ทำให้การใช้กำลังกลายเป็นขั้นตอนหนึ่งของการมีเพศสัมพันธ์ เป็นการโหมโรงก่อนความสุขสมรื่นรมย์ ที่ผมบอกว่า ‘วัฒนธรรมผู้ชายเป็นใหญ่’ คือไม่ใช่เฉพาะแต่ผู้ชายนะที่คิด แต่ผู้หญิงบางส่วนก็ถูกทำให้เชื่อด้วย คือต้องดิ้นรนขัดขืนก่อน ถึงจะดูมีค่า ไม่ถูกกล่าวหาว่าง่าย มันทำให้ผู้ชายมีจินตนาการทางเพศว่าการใช้กำลังเป็นการช่วยให้ผู้หญิงได้แสดงออกถึงความต้องการทางธรรมชาติ คือแทนที่จะเป็นการทำร้ายผู้หญิง ผู้ชายกลับมีจินตนาการว่า ตัวเองกำลังช่วยผู้หญิงต่างหาก”
“อย่างวรรณคดีเอง เราจะเห็นพฤติกรรมแบบนี้อยู่ ใน ‘ขุนช้างขุนแผน’ นางพิมถูกใช้กำลังตั้งแต่ฉากแรกที่มาพลอดรักกับพลายแก้วในไร่ฝ้าย นางสายทอง นางแก้วกิริยาด้วย หรือการใช้มนต์สะกดของขุนแผน จริงๆ แล้วก็เป็นกลวิธีอำพรางความรุนแรงอย่างหนึ่งของวรรณคดี เป็นการบอกว่าแท้จริงแล้วผู้หญิงก็มีธรรมชาติที่ต้องการอะไรแบบนั้น เพียงแต่ถูกควบคุมเอาไว้ด้วยแบบแผนของความเป็นผู้หญิง การเป่ามนต์คือการช่วยปลดปล่อย ซึ่งมันก็คือจินตนาการทางเพศที่ผู้ชายคิดว่าตัวเองเป็นผู้เข้ามาปลดปล่อย ในจินตนาการแบบนี้ของกวีซึ่งเป็นผู้ชายคิดว่า การเป่ามนต์ของขุนแผนไม่ต่างอะไรกับการเล้าโลมของตัวละครในวรรณกรรมสมัยใหม่ ที่ผู้ชายคิดว่าจะค่อยๆ ทำให้ผู้หญิงพึงพอใจและสยบยอมในที่สุด”
ไม่ได้มีเพียงแค่ในอดีต นิยายร่วมสมัยปัจจุบันก็อยู่ในประเด็นดังกล่าว นักเขียนนวนิยายรุ่นใหม่ ‘ไพลินภัทร’ เจ้าของผลงาน ‘กลิ่นแก้วทวิกาล’ และ ‘รัก ณ มหานคร’ ก็ขอพูดในฐานะนักอ่านว่า เธอไม่ชอบอ่านงานที่มีการใช้ความรุนแรงทางเพศระดับ 18+ที่ยอดขายสูงลิ่ว
“เรื่องส่วนใหญ่ของนิยายแนวนี้ พระเอกหล่อ รวย อาจเป็นลูกครึ่ง มาเฟีย หรือสัญลักษณ์ใดๆ ก็ตามของผู้ชายเร่าร้อน จับนางเอกมาข่มขืน ด้วยเหตุผลต่างๆ หลังจากนั้นก็จะรู้สึกผิดเพราะนางเอกยังบริสุทธิ์ จากนั้นก็มีเรื่องราวต่างๆตามมา รวมถึงนางเอกท้อง หนีไป พระเอกตามง้อ แล้วก็จบเรื่อง”
ซึ่งเธอมองว่าในความเห็นเธอนั้น หน้าที่ส่วนหนึ่งของงานเขียนในทุกแนวที่พึงมีคือความรับผิดชอบต่อสังคม
“เราเห็นด้วยกับคุณปราณประมูลนะว่า นิยายหรือละครไม่ได้เป็นเหตุผลหลักของการข่มขืนและใช้ความรุนแรงหรอก เอาจริงๆจะมีผู้ชายสักกี่คนที่ดูละครหรืออ่านนิยายแล้วเกิดอารมณ์ลุกไปข่มขืนใคร แต่ที่เรากลัวก็คือผู้หญิงด้วยกันนี่แหละ เรากลัวว่า ถ้าทุกคนเสพสื่อแบบนี้จนเป็นนิสัย และมองการใช้ความรุนแรงและการข่มขืนเป็นเรื่องปกติในสังคม เป็นเรื่องที่พอรับได้ขึ้นมาล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น จริงอยู่ที่การถูกข่มขืนโดยคนแปลกหน้าไม่ใช่เรื่องที่ใครจะยอมรับได้ แต่ในกรณีที่การข่มขืนและการใช้ความรุนแรงเกิดขึ้นจากฝีมือคนที่เรารักล่ะ การให้อภัยด้วยคำว่ารักไม่ได้เป็นหลักประกันในอนาคตว่าเรื่องเลวร้ายจะไม่เกิดขึ้นอีก”
ศตวรรษที่ 21 แล้ว จะเดินถอยหลังเข้าคลองกันเพื่ออะไร