ดวงจันทร์ สุวรรณี เผยเส้นทางชีวิตนักร้องในวันที่ดังสุด จนถึงจุดที่ตัดสินใจผิดพลาด

ดวงจันทร์ สุวรรณี

ดวงจันทร์ สุวรรณี เผยเส้นทางชีวิตนักร้องในวันที่ดังสุด จนถึงจุดที่ตัดสินใจผิดพลาด

ดวงจันทร์ สุวรรณีเผยเรื่องราวเส้นทางชีวิตจากช่างเสริมสวย สู่การเป็นนักร้องชื่อดังของ ดวงจันทร์ สุวรรณี ในรายการคุยแซ่บShow พร้อมเผยเรื่องราวสุดหวานหนุ่มต่างชาติมาจีบถึงขั้นโดนขอแต่งงานมาแล้ว เคลียร์ประเด็นจะลาวงการวางไมค์เพราะน้อยใจทำเพลงเองไม่รุ่ง ไปไหนคนจำหน้าไม่เคยได้

โดยเจ้าตัวได้เล่าถึงชีวิตในวัยเด็กให้ฟังว่า แม่เป็นช่างเสริมสวยมาก่อน แล้วแม่มีลูกสาวหลายคน แม่ก็ให้เลือกว่าถ้าไม่เรียนแล้วรับราชการก็ให้เป็นช่างเสริมสวยหรือช่างเย็บผ้า อะไรก็ได้ที่เป็นงานฝีมือ

“เราก็บอกแม่ว่าเลือกเสริมสวยดีกว่า พอเรียนเสริมสวยจบก็ทำเสริมสวยเลย ไม่คิดว่าจะมาเป็นนักร้อง”

ตอนนั้นพี่ผึ้งเสียพอดี ทางกรุงเทพฯเขาก็ประกาศว่าใครก็ได้อายุประมาณ  15-30 ปี ถ้าจำไม่ผิด ร้องเพลงประกวดถ้าเข้ารอบ 30 คน อาจจะได้เป็นศิลปิน เราก็คิดว่าเราก็ร้องเพลงได้อยู่ก็ลองส่งเล่นๆ ตอนนั้นก็อายุไม่ถึง 20 ส่งเสียงใส่คาสเซ็ทไป”

Advertisement

ซึ่งก็ปรากฏว่าได้ผ่านเข้ารอบ 30 คนทั่วประเทศ แล้วก็ได้มาเจอนักจัดรายการสามีภรรยา ที่ให้คำแนะนำว่าถ้าประกวดแล้วลองทำซิงเกิ้ลดู แล้วก็เอาไปฝากกับวง ยิ่งยง ยอดบัวงาม ที่ตอนนั้นเพลงสมศรี 1992 กำลังดัง แล้วก็ได้มีโอกาสไปเป็นนักร้องในวง โดย ยิ่งยง ก็ให้ความเอ็นดูตนมาก

ใช่ค่ะ เอ็นดูเหมือนน้องเลย พูดง่ายๆว่าภรรยาของพี่ยิ่งยงตอนนั้นเราเป็นแม่สื่อให้เอง เพราะเวลาพี่ยิ่งยงซื้อน้ำหอม ผลไม้จากตลาดกิมหยงพี่เป็นคนส่งเอง ได้ทิปจากพี่ยิ่งยงครั้งละ 500 ครั้งละ 1000 ดีใจใหญ่เลย”

และก็ได้ร้องเพลงแก้ของ ยิ่งยง ยอดบัวงาม ก่อนที่จะได้ไปทำงานกับนักร้องดังอีกหนึ่งคน คือ เอกชัย ศรีวิชัย

Advertisement

เป็นความโชคดีของเราปีนั้นพี่เอกชัยไปทัวร์คอนเสิร์ตภาคใต้ พี่เอกได้ยินเสียงเราจากทางวิทยุ เขาก็ตามหาว่าเด็กคนนี้แก้วเสียงดี เขาให้มาร้องเพลงประจำในวง ร้องอยู่ 1 ปี”

ซึ่งตอนนั้นร้อง ‘หมาไม่กัด’ เพลงแก้ของเอกชัยเลยทำให้มีชื่อเสียงดังมาก คนรู้จัก ดวงจันทร์ สุวรรณี ขึ้นมาในระยะเวลาเพียงแค่ 2 อาทิตย์

“แต่ก็อย่างที่หลายคนทราบว่าชีวิตเรามีแบบดีสุดกับตกสุด”

หลังจากนั้นไม่นานก็ได้เข้ามาทำงานกับค่ายใหญ่ แกรมมี่โกล์ด

“ในความรู้สึกเราคือ โอ้โห..แกรมมี่เลยหรอ ใยช่วงจังหวะชีวิตที่เราแย่สุดๆ คือช่วงที่ผู้จัดการเสียคือบ้านไม่มี รถไม่มี คอนโดไม่มี เรามีเงินอยู่แค่ไม่ถึงพันตอนเข้ากรุงเทพฯ เป็นช่วงแย่สุดๆ ฟ้าหลังฝนจริงๆ”

“พอแกรมมี่มาติดต่อให้ไปทำเพลงเหมือนถูกรางวัลที่ 1 อยู่แล้ว แต่ว่าความทุกข์ก็มาอีก เพราะว่าผู้ใหญ่ก็คาดหวังว่าถ้าหากเทปของดวงจันทร์ไม่ถึง 1 แสนตลับของแท้นะคะ แต่เรารู้สึกว่าเราเป็นนักร้องภาคใต้ตอนเดียว เป็นนักร้องลูกทุ่งหญิงสำเนียงใต้คนเดียวของแกรมมี่ที่เป็นลูกทุ่ง ตอนนั้นกดดันมากเลย ตอนนั้นน้องต่าย อรทัย ก็ดัง พี่นาง ศิริพร, พี่ไมค์ ภิรมย์พร มันเป็นความกดดัน”

“ทำงานอยู่ 5 เดือน กว่าเพลงจะออก อัดรองูเข้าฝัน น้ำตาโนราห์ หลายเพลงแล้ว โชว์เบอร์ไม่โชว์ใจเป็นเพลงชี้ชะตาชีวิตเลย เพลงสุดท้ายของอัลบั้ม”

จนในที่สุดเพลงของเธอก็ดังหลายเพลงเลย “จากในบัญชีมีเงินไม่ถึงพัน ระยะเวลาเพลงดังจากแกรมมี่ 2 เดือนมีเงินเข้าบัญชีเป็นล้าน ดีใจมากค่ะ”

ช่วงนั้นงานเยอะถึงขนาดที่ต่างประเทศติดต่อมาแต่ไม่มีคิวไป

“คือระยะเวลาที่เพลงดังในเมืองไทย 3 เดือน แต่มีวันหยุดอยู่แค่ 2 วัน ตั้งใจว่าหยุดจริงๆ เพราะว่าเหนื่อยเต็มที่แล้ว”

นอกจากชื่อเสียจะทำให้งานและเงินเข้ามามากมายแล้ว ก็ยังมีแฟนคลับแปลกๆ เข้ามาด้วยเช่นกัน

ก็โทรมาจะจ้างคุณดวงจันทร์ไปร้องเพลง ชอบมาก คิดค่าตัวเท่าไหร่”

“ซักพักก็โทรมาอีกแล้วถามว่าถ้าผมให้คุณดวงจันทร์ไปร้องเพลงกับผม 1 วันแล้วอยู่ต่อกับผม 2 วัน คุณดวงจันทร์จะคิดค่าตัวเท่าไหร่ น้องสาวที่รับสายก็ตกใจ เขาบอกว่าเขามีทุกอย่างเลย พี่จะเอาอะไรก็ได้ บ้าน รถ ราคาเท่าไหร่ก็ได้ สักพักเขาก็ทำเสียงกระเส่า แล้วเขาก็พูดกับน้องสาวว่าคุณดวงจันทร์ใหญ่มั้ย น้องสาวตอบกลับมาว่าเท่าจานกินข้าวบ้านคุณแหละค่ะ น้องสาวโกรธ คิดว่าเจอโรคจิตก็เลยวางหู”

“หลังจากนั้นโทรมา 3 เดือนเปลี่ยนเบอร์เดือนละ 30 เบอร์ จนน้องสาวเขาไม่ให้เอาเบอร์เขารับงานแล้ว”

ทั้งนี้เมื่อสอบถามว่า เคยมีท้อและน้อยใจกับชื่อเสียงตัวเองเหมือนกัน

วันที่เราตัดสินใจผิดไม่ต่อสัญญากับที่แกรมมี่ คือในตอนนั้นตัดสินใจผิดมาก ในขณะที่ผู้ใหญ่ให้โอกาส ในความคิดของเราที่ไม่ต่อสัญญาเพราะโปรดิวเซอร์เราออก เราไม่อยากเป็นภาระครูสลา เพราะว่าครูสลาดูแลน้องต่าย ดูแลพี่นาง ดูแลพี่ไมค์ เราเป็นคนขี้เกรงใจ”

“เราคิดว่าถ้าเราไม่ต่อสัญญาไปทำเพลงพื้นบ้านที่ใต้ มีชื่อเสียงความเป็นดวงจันทร์อยู่แล้วน่าจะพอมีงาน เราลืมคิดไปว่าถ้าเราหลุดจากค่ายปุ๊ปสื่อต่างๆ รายการทีวีต่างๆ เราหลุดหมด แล้วทุกอย่างที่เรามีมันค่อยๆหมด มันก็เป็นเหมือนคนธรรมดาคนหนึ่งที่ยังไม่เข้าวงการ”

เมื่อถามว่าให้กำลังใจตัวเองยังไง ดวงจันทร์ สุวรรณี ก็ว่า

ตั้งแต่มีโควิดทุกคนอยู่บ้านเฉยๆ พี่ก็เลยคิดว่าไม่ว่าคนจะรวยหรือจะจนตอนนี้ต้องอยู่บ้านเหมือนกัน ต้องหยุดเหมือนกัน ก็เลยทำให้ตัวเองคิดได้ว่าชีวิตพี่ไม่ยึดติดใช้ชีวิตปกติ ไม่รู้สึกเหงานะ เพราะ 2-3 ปีมานี้เรามีงานน้อยมาก ก็ไม่เป็นไร”

แต่กับแฟนๆ ที่ยังจำตนได้นั้น เธอก็ว่า “ดีใจค่ะ ขอบคุณมากๆเลย”

“บางคนจำหน้าไม่ได้ แต่จำเพลงได้ พอรู้ว่าเป็นเราเขาก็บอกว่าชอบมากเลย เมื่อก่อนดูคอนเสิร์ตประจำเลย ไม่คิดว่าตัวจริงยังดูดี เราก็มีกำลังใจอีก เรารู้สึกว่าเราต้องเงียบไปในขณะที่อายุยังไม่ถึง 50 ก็เลยรู้สึกนอยด์”

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image