หม่ำ จ๊กมก-เอกชัย ศรีวิชัย จาก ‘หมั่นไส้’ กลายเป็น ‘ครอบครัว’

หม่ำ จ๊กมก-เอกชัย ศรีวิชัย จาก ‘หมั่นไส้’ กลายเป็น ‘ครอบครัว’

“เมื่อก่อนนั่งโต๊ะเดียวกันก็แค่ทักทาย…มันก็หมั่นไส้เรา เราก็หมั่นไส้มัน” นี่คือรูปแบบความสัมพันธ์ของ เอกชัย ศรีวิชัย กับ หม่ำ จ๊กมก เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา เมื่อครั้งกระโน้น ที่เอกชัยยกมาเล่าผ่านรายการ เมเจอร์ สเปเชียล ทอล์ก ที่ เมเจอร์ กรุ๊ป จัดขึ้น โดยมี เอิร์ธ ออสการ์ ดำเนินรายการ ผ่านแชแนล Major Group ทางยูทูป

อย่างไรก็ดี เมื่อเจอกันบ่อยเข้า จากงานนั้น งานนี้ ที่ทั้งคู่ต่างไปร่วม ความหมั่นไส้ตอนที่ “ไม่ได้คุยกัน” ก็แปรผันเมื่อเริ่มสนทนา จนทุกวันนี้หม่ำบอกว่า “เราสนิทกันเหมือนครอบครัว”

ขณะเอกชัยยิ้ม พร้อมเสริม “ผมชอบไปทำกับข้าวบ้านเขา”

ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจ ถ้าภาพยนตร์เรื่อง ‘Love เลย101’ ของหม่ำ มีเอกชัยไปร่วมด้วย ช่วยนำนักร้องนักแสดงคนดังจากภาพยนตร์เรื่อง ‘มนต์รักดอกผักบุ้ง เลิกคุยทั้งอำเภอ’ ของเขา มาพากย์เสียง ให้ภาพยนตร์เสียงอีสานออริจินัลเรื่องนี้ กลายเป็นเสียงภาษาใต้ในตอนที่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์พื้นที่ภาคใต้ ขณะที่ภาพยนตร์เรื่องมนต์รักดอกผักบุ้ง เลิกคุยทั้งอำเภอ ของเขาก็มีหม่ำไปร่วมแสดง โดยเป็นการตอบรับ ตั้งแต่เอ่ยปาก รับโดยไม่ถามสักคำว่าบทบาทที่ได้รับจะเป็นยังไง

ADVERTISMENT

“คือเขาจะถามผมท่านว่างไหม” หม่ำเล่าถึงตอนที่เอกชัยชวน

ขณะเดียวกันตอนที่เขาจะชวนเอกชัย “ผมก็จะเหมือนกัน ท่านว่างไหม”

“ไม่คุยเรื่องอื่น”

ด้านเอกชัยบอกว่า ปกติแล้วเวลาเขามีคอนเสิร์ต หม่ำมักจะถามหาตารางการแสดง แล้วก็แจ้งว่าจะไปร่วมขึ้นเวทีที่ไหน วันใด ครั้นเขาสอบถามเรื่องกำหนดการเดินทาง เพื่อจะจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบิน หรือส่งรถไปรับ ก็จะได้คำตอบกลับประมาณ “ไม่ต้องยุ่ง”

“เขาเป็นคนคบเพื่อน ไม่ว่างานไหน งานราษฎร์ งานหลวง เขาไปหมด ถึงหมด”

ขณะที่หม่ำก็ว่า เวลาเอกชัยไปช่วยงานของเขา ก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเงินทอง หรือของตอบแทน เพราะที่ผ่านมาเมื่อมีการนำซองเงินไปให้ ก็ได้รับการคืนกลับ พร้อมถ้อยคำกำชับเสียงดัง “เอาคืนไป”

“ทุกอย่างในการทำงาน มันกลายเป็นครอบครัวเสียมากกว่า” เอกชัยบอก

ขณะที่หม่ำก็ว่า ที่เขาคิดๆ อยู่คือต่อไปหนังทุกเรื่องของเอกชัยน่าจะมีเขามาแจม และแน่นอนหนังทุกเรื่องของเขาก็น่าจะมีเอกชัยเข้าร่วม

และ “ไม่แน่ อาจจะมีเรื่องหนึ่งมาเจอกันเต็มๆ”

*ในความเป็นผู้กำกับ

สิ่งหนึ่งที่หม่ำกับเอกชัยบอก ว่าเขาทั้ง 2 คนมีความเหมือนกัน คือก่อนหน้าจะมาเป็นผู้กำกับ ทั้งคู่เติบโตมาจากการเป็นนักแสดงมาก่อน ดังนั้นตอนแรกๆ ที่ผันตัวมาอยู่เบื้องหลังจึงยังไม่เข้าใจ ‘ภาษาของไฟ ภาษาของกล้อง ภาษาของภาพ’ นัก

“บางทีต้องทำสโคปให้เขาดู ว่าอยากได้ภาพแบบนี้ เขาก็อ๋อ…ใช้เลนส์ประมาณนี้ พี่คอยดูที่มอนิเตอร์นะ อันนี้ได้ไหม มันก็จะสอนเราไปทีละหน่อย ทีละหน่อย” หม่ำเล่า

ขณะเอกชัยเผยว่า ที่ผ่านมาเขาเฝ้าสังเกตการทำงานในกองถ่ายมาตลอด และก็ได้เรียนรู้มากมาย โดยเฉพาะจากกองถ่ายหนังของ พันนา ฤทธิไกร

“ทีมที่ทำมีอยู่ไม่กี่คน แล้วเราพอเล่นเสร็จ ก็ไปเข็นดอลลี่ ไปยกรีเฟล็กซ์ ไปช่วยบอกบท สคริปต์หน้ากล้อง เลยเป็นพื้นฐานมา คือเป็นคนที่ไปเล่นหนัง แล้วไม่ไปนั่งอยู่กับนักแสดง จะชอบอยู่หน้าเซ็ท ดูว่าถ้าฝนตกแบบนี้เขาเอาไฟหน้าเท่าไหร่ ไฟข้างเท่าไหร่ แล้วมันจะเห็นเม็ดฝนชัด อะไรแบบนี้”

ครั้นเมื่อถูกถามเรื่อง ‘ดุไหม?’ ในระหว่างการกำกับ หม่ำตอบทันที “ผมปกตินะ จะสนุก ไม่ซีเรียส ไม่แจกกล้วย ไม่อะไร”

ขณะเอกชัยบอกเขาจะซีเรียส “แต่ไม่ซีเรียสนักแสดง จะซีเรียสทีมงาน ถ้าสั่งอะไรไปแล้วไม่ได้”

เรื่องที่เอกชัยเล่า หม่ำบอกฟังแล้วก็เข้าใจว่า “น่าโมโห”

“แต่ผมไม่แสดงออก ท่านเอกชัยอาจจะแสดงออกได้ แต่ผมไม่กล้า กลัวเขาจะโกรธ เราแค่พูดสั้นๆ คำเดียว ไม่เป็นไรๆ ลืมไป ทำงานกับพวกฝึกงาน”

หูยยยยยยย…