แกร่งแค่ไหนก็ไม่ไหว ‘ศรราม’ กับเรื่องที่ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง-เผยเตรียมคำพูดไว้บอกลูกสาวเรื่องหนุ่มๆ แล้ว

แกร่งแค่ไหนไม่ไหว ‘ศรราม’ กับเรื่องที่ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง-เผยเตรียมคำพูดไว้บอกลูกสาวเรื่องหนุ่มๆ แล้ว

หลังจากที่ออกตัวว่าเป็น ซามูไรพ่อลูกอ่อน เดินหน้าเลี้ยง น้องวีจิ ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนคนเดียว ล่าสุด พระเอกดัง หนุ่ม ศรราม เทพพิทักษ์ ที่ได้มาเป็นแขกรับเชิญคนพิเศษในรายการ Club Friday Show ผลิตโดย CHANGE2561 เผยถึงสุดที่รักคือ น้องวีจิ ลูกสาว หวงแค่ไหนตอนลูกสาวโต เจ้าตัวเผยมีคำพูดที่เตรียมจะพูดกับลูกไว้แล้ว พร้อมเปิดใจครั้งแรกกับเรื่องที่ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง แกร่งแค่ไหนก็ไม่ไหว แต่เจอแบบนี้ทุกวันก็หมดพลัง เผยไม่เคยปิดกั้นแม่ให้เจอลูก

จริงๆ แล้วเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว แต่อยากให้เรียกซามูไรพ่อลูกอ่อนมากกว่าเพราะอะไร
“เพราะผมว่ามันน่ารัก ไดโกโร ครับ เพราะว่าคือผมไม่อยากให้มองว่ามันเป็นเรื่องที่แบบต้องมีอุปสรรคเยอะ หรือ มีอะไรเครียดที่ต้องเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว เพราะเราอยากให้มองว่าเป็นเรื่องสบายๆ เป็นเรื่องที่ธรรมชาติของมนุษย์เกิดขึ้นได้”

แล้วมันสบายจริงๆ หรือเปล่า เพราะโดยปกติแล้วเราจะพบคำว่าคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว เวลาที่ครอบครัวมีปัญหาเกิดขึ้นคนที่จะรับเลี้ยงดูลูกจะเป็นแม่โดยปกติทั่วไป ในฐานะที่เป็นคุณพ่อที่ต้องเลี้ยงดูมีความสบายๆ หรือความยากลำบากอะไรบ้าง
“ผมว่าถ้าเรามีลูกเป็นตัวตั้งทุกอย่างจะสบายหมดมันจะไม่เหนื่อยเลยเพราะเรามีวีจิเป็นตัวตั้ง อย่างเมื่อก่อนเราเป็นลูกใช่ไหมครับ ผมมีป๋ากับแม่ เราทำตัวเป็นลูกที่กตัญญูกับพ่อแม่เลี้ยงดูเขาให้ดีที่สุดในวันที่เขาอยู่ วันหนึ่งป๋าจากไปแล้ว วีจิ มา ตอนนี้เราเอา วีจิ เป็นตัวตั้งพลังงานการขับเคลื่อนในตัวมันเต็มเหนี่ยวเลยครับ”

เกิดความเข้าใจอะไรบ้างจากการที่เราไม่เคยมีลูกมาก่อนเลยแล้วมีอะไรเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นบ้างในจิตใจของเรา
“เราก็จะระมัดระวังตัวเองมากขึ้น ในเรื่องสุขภาพ เรื่องของความโลดโผน ทุกสิ่งอย่างคือลดลงหมดเลย หรือแม้กระทั่งวิธีการเล่นกับเขาก็ต้องเล่นแบบทะนุถนอมเบาๆมีความละเอียดมากขึ้น (ทุกวันนี้สิ่งที่เราทำในหน้าที่ของพ่อคือ) คือทำอาหารตอนแรกทำเป็นประจำอยู่แล้ว แต่พอหลังโควิดเราทำงานถ่ายละครเช้าดึกๆทุกวันเลยไม่ค่อยได้ทำอาหารสักเท่าไหร่ แต่เราก็ยังคงมีกิจวัตรประจำวันเหมือนเดิมคือ ใส่บาตรกับลูกทุกเช้า ทานข้าวเช้ากับเขา หรือเล่นกับเขา แต่ถ้าวันไหนมีกองถ่ายสักหนึ่งซีนก็พาไปเที่ยวที่กอง”

Advertisement

“ตอนนี้ก็ขวบกับอีกแปดเดือนแล้วครับ ตอนนี้เริ่มอ้อนแล้วครับ ก่อนที่เราจะออกจากบ้านเขาจะเรียกเรา ป๊าป๋า หรือไม่ก็เตรียมใส่รองเท้าจะนั่งรถไปด้วย”

การที่เราต้องเลี้ยงลูกคนเดียวเราต้องทำงานด้วย เลี้ยงเขาด้วย เราต้องศึกษา อ่านหนังสือ ดูวิธีการเลี้ยงเขาไหม แล้วกังวลในเรื่องการแบ่งเวลาไหม
“คือต้องเรียนแบบนี้ก่อนนะครับ ก็คือที่บ้านว่าตั้งแต่ที่วีจิคลอดออกมาเราจะมีพี่เลี้ยงที่ดูแลเด็ก ดูแลวีจิอยู่แล้วซึ่งตอนนั้นเป็นคุณน้าครับ แล้วก็พอวีจิ เริ่มโต 1 ขวบ เราก็เปลี่ยนจากคุณน้ามาเป็นพี่เลี้ยงที่มาจากเนอสเซอรรี่ซึ่งมาจากเนอสซอรี่ของเพื่อนผมที่เรียนเซนต์คาเบรียลด้วยกัน เขาก็จะสอนตามพัฒนาการที่ควรจะเป็น ทานข้าว อาบน้ำ รู้จักเรียง A B C หัดออกเสียง งีบหลับตอนกลางวัน คือ ทำให้เป็นชีวิตประจำวันของเขา

ส่วนคุณแม่พออายุเริ่มเยอะขึ้นเราก็ได้พี่เลี้ยงมาช่วยดูแลอีกคน ก็ต้องบอกว่ามีกำลังเสริมที่คอยช่วยเหลือในขณะที่เราทำงานนอกบ้าน ซึ่งถามว่าเราห่วงกังวลที่เราต้องทำงานด้วยเลี้ยงลูกด้วยไหม ผมไม่นะครับ เพราะเราเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐาน เพราะในตอนเด็กๆ ป๋า ผมไปถ่ายละครที่ต่างจังหวัดเป็นเดือนๆ แล้วแม่คือ คนที่เลี้ยงเรามา ซึ่งมีวันหนึ่งที่พอเรารู้ว่า ป๋า กลับมาจากที่ทำงานแล้วเขาจะมารับเราที่โรงเรียนเรายืนรออยู่ตรงสะพานลอยรอตั้งแต่สี่โมงถึงสองทุ่มเหลืออยู่คนเดียวก็เคยผ่านมาแล้ว เพราะฉะนั้นก็เลยรู้สึกว่าอะไรก็ได้ที่มันเป็นความรักความอบอุ่นที่เราสามารถที่จะเติมเต็มให้เขาเราจะทำ ให้มันดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ครับ”

Advertisement

เราจะเห็นความรักที่เคลื่อนตัวจนกระทั่งมาถึงตรงนี้ แน่นอนเรื่องหลายๆอย่างผ่านไปเรียบร้อยแล้ว หลายคนได้เห็นจากข่าว ได้เห็นจากอะไรแล้ว แต่ไหนๆมานั่งอยู่ตรงนี้แล้วลองสรุปรวมสักนิดหนึ่งว่าคนที่มีครอบครัวที่อบอุ่นในวันนั้น จนกลายมาเป็น ซามูไรพ่อลูกอ่อน มันเกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างทาง
“ก็ต้องขออนุญาตเรียนแบบนี้ครับ ก็คือว่าปัญหาทุกปัญหาที่มันเกิดมันเป็นปัญหาที่ไม่เหมือนครอบครัวอื่น มันไม่ใช่ปัญหาเรื่องคนที่สาม แต่มันเป็นปัญหาที่ไม่ค่อยถูกต้อง แล้วมันเป็นปัญหาที่หนักแล้วมันไม่ได้รับการแก้ไขแล้วมันก็เป็นปัญหาเรื่อยๆ ตามมา ซึ่งผมเองก็พยายามที่จะประคับประคองให้มันดีที่สุดแล้ว แล้วพยายามจะแก้ไขปัญหาทุกๆ ครั้งอย่างดีที่สุด ซึ่งผลลัพธ์ที่ต้องเป็นแบบนี้เพราะมี วีจิ เป็นตัวตั้งอะไรก็ตามที่มันต้องเกิดอันตรายต่อ วีจิ หรือมีผลกระทบต่อลูกนั่นคือ สิ่งที่มันไม่ได้แล้วครับ”

พอจะเล่าไทม์ไลน์เรื่องที่เกิดหรือการตัดสินใจที่เกิดขึ้นกับเราได้ไหม
“ต้องเรียนแบบนี้นะครับ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นผมได้ทำหน้าที่ผมอย่างเต็มกำลังแล้ว แล้วก็ผมคิดว่าพอมาถึงวันนี้ปั๊บสิ่งต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นอาจจะถูกเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีก็ได้แล้ว เราก็เลยจะขออนุญาตไม่ไล่ไทม์ไลน์นะครับ”

จุดเปลี่ยนที่แรงที่สุดทำให้ต้องตัดสินใจแบบนี้คืออะไร
“คือผมตัดสินใจตั้งแต่ครั้งแรกแล้วครับ เพราะผมเรียนไปแล้วว่า ปัญหาที่มันเกิดขึ้นมันเป็นปัญหาที่ไม่ถูกต้องนะ ในเมื่อปัญหาที่ไม่ถูกต้องมันเกิดขึ้นสิ่งที่มันหมดไม่ใช่ (ความรัก) แต่มันหมดความไว้ใจ และในปัญหาที่เราพยายามประคับประคองแล้วแต่มันก็ยังมาเป็นระลอกๆ สิ่งที่ผมเรียนคือว่าถ้ามนุษย์เราอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว ครอบครัวมันควรจะมีความสุข ไม่ควรร้อน บ้านไม่ควรร้อน บ้านควรเป็นที่ที่อบอุ่นหรือเย็นๆ เวลาที่เราเหนื่อยจากที่อื่นมาเวลาที่เราเข้าบ้านเราต้องรู้สึกสบาย”

ถ้าถามว่าปัญหานี้รู้มาก่อนแต่งงานไหม
“ปัญหาที่ทำไม่ถูกต้องเนี้ย ไม่รู้ แต่รู้ว่ามีปัญหาอะไรเนี้ย รู้ แล้วก็แก้ไขให้มาโดยตลอด เพราะเราไม่รู้ต้นเหตุของมัน เรารู้แค่ปลายเหตุ”


ถ้าพูดตรงๆ รู้ว่ามีเรื่องเงิน แต่ไม่รู้ว่าปัญหานี้มาจากสาเหตุที่แท้จริงคืออะไร
“ใช่ครับ แต่คราวนี้มันก็จะเป็นเรื่องอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง ก็คือถ้าเกิด อั๋น พูดแบบนี้ก็จะอธิบายให้เข้าใจมากขึ้นเพราะว่า การสนทนาที่อยู่ในบ้านมันก็จะเป็นเรื่องปัญหานี้ มันจะไม่ใช่ว่าวันนี้จะพาลูกไปเที่ยวไหน วันนี้ป๋าเหนื่อยไหม มันก็จะถูกวนเวียนอยู่กับเรื่องที่ อั๋น พูดเมื่อกี้ มันก็จะถูกวนเวียนอยู่แบบนั้น ซึ่งเราเองก็ไม่เขาใจ ณ วันนั้น เรารู้ว่ามีปัญหา และเราก็พยายามช่วยแก้ปัญหา แต่สิ่งหนึ่งที่เราอย่างหนึ่งในเรื่องของการสนทนาไม่มีเรื่องอื่นเลย มันมีผลกระทบต่อคนคนหนึ่งที่ต้องออกไปยิ้มหน้ากล้อง คือ เราต้องออกไปมอบความสุขให้กับทุกคน เพราะฉะนั้นพลังงานที่เราต้องได้รับ คือต้องเป็นพลังงานบวกนะ เพื่อที่เราออกไปปั๊บเราส่งให้คนอีกเป็นหมื่นเป็นแสน แต่คือว่าพอเสียงไหนที่เป็นการสนทนาที่มันอยู่เฉพาะเรื่องนี้มันแน่นมากพอสมควรนะ ทุกวัน ทุกเวลา เป็นไปไม่ได้นะ ผมก็ต้องยอมรับว่าผมเป็นมนุษย์ปกติธรรมดา ถ้าผมไม่เติมพลังให้กับตัวเอง ผมก็ไม่สามารถที่จะไปเติมพลังให้กับคนอื่นได้ เราก็อ่อนแอเป็นเหมือนกัน แต่พอเราอ่อนแอเราก็จะหาทางทำยังไงก็ได้ให้ตัวเองกลับมาเข้มแข็งให้เร็วที่สุด”

เราจะพูดเสมอว่าเวลาเริ่มชีวิตคู่ เรื่องเงินจริงๆ แล้วมันมีความละเอียดอ่อน คู่ของหนุ่มเองมีการพูดคุยเรื่องนี้มาก่อนการแต่งงานไหม
“ของหนุ่มคือ ได้ช่วยแก้ไขปัญหาเลยครับ ในทุกๆ ครั้งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนแต่งงาน อย่างที่เราบอกคือเราพยายามแก้ไข บอกให้ปรับปรุง ประคับประคองทุกสิ่งทุกอย่าง ณ วันนั้นนะครับ แต่พอเรามาคิดถึง วีจิ มันไม่โอเคสำหรับลูกแล้ว”

เคยบังเอิญได้ดูตอนที่ หนุ่ม ไลฟ์อันหนึ่งเราจะเห็นชัดเลยว่าพยายามจะแก้ปัญหาจริงๆ หนุ่มจะพูดอะไรไม่รู้เต็มไปหมดเลยเราก็เป็นคนดูอยู่ซึ่งเราก็ไม่รู้อะไรเยอะนะ แต่สิ่งที่เขาพยายามพูดออกไปซึ่งไม่สามารถพูดออกมาตรงประเด็นได้ เพราะต้องปกป้องทุกสิ่งอย่างอยู่อันนั้นเห็นในความพยายาม ความยากลำบากเราก็ต้องยอมรับว่าเราเป็นคนของประชาชนอยู่ในความสนใจของทุกคน
“แล้วอีกอย่างเหมือนที่ อั๋น บอกคือเราจับต้นชนปลายไม่ถูกเพราะฉะนั้นเราก็ไม่รู้ว่าเราจะไปบอกที่มาที่ไปยังไงที่ต้นเหตุคืออะไร (ซี่งก็มีคนเข้าไปต่อว่าทำไมตอบไม่ตรงคำถาม) ก็อึดอัดบางส่วนนะครับ แต่อย่างที่บอกนะครับว่าเงินทองมันเป็นของนอกกาย คือ เสียเงินเสียทองเท่าไหร่ไม่เป็นไร แต่ถ้ามันเสียความรู้สึกไปแล้วมันเรียกกลับมายาก”

หนุ่มบอกว่าตอนครั้งแรกที่มีปัญหารู้สึกเลยว่าไม่เอาแล้ว แต่รู้มาว่าหลังจากนั้นก็ยังคงใช้ความพยายามอยู่ด้วยกันเป็นปี
“ใช่ครับ เพราะผมไม่อยากให้ วีจิ ขาดคนใดคนหนึ่งไปในชีวิต ซึ่งตอนนั้นที่เรายังไม่เลิกเพราะเราไม่ได้แคร์เรื่องว่าเราคือศรรามอะไรมากมาย แคร์ลูกมากกว่าแล้วก็ ณ วันนั้นเรารอให้มีการแก้ไขปรับปรุงด้วยเพราะได้มีการพูดจากันแล้ว ซึ่งพอผ่านมาระยะเวลาหนึ่งมันก็ไม่ได้ถูกแก้ไขปรับปรุง แล้วเราก็ประคับประคองอย่างดีที่สุดแล้ว ที่ผมบอกว่าผมเสียความรู้สึก ความรู้สึกที่ผมบอกคือความไว้วางใจ เพราะหลังบ้านเราต้องแน่นหน้าบ้านมันถึงจะรบชนะ”

ที่บอกว่าตัดสินใจตั้งแต่ครั้งแรก คือ หย่า เลย แต่ทำไมยังตัดสินใจใช้หนี้ให้อีก
“เพราะอย่างที่บอกครับเพราะเรารอการแก้ไข และ ปรับปรุงเพราะเราก็ยังรักนะ เราก็ให้โอกาส (แต่มันไม่ใช่โอกาสที่มันกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้) เพราะมันเป็นเหมือนเดิมอยู่แล้ว ณ วันนั้นนะครับ เพราะมันยังไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะเรารู้กันแค่ในครอบครัวเรา”

ในเชิงกฎหมายมันจบไปตั้งแต่แรก แต่ความเป็นครอบครัวยังอยู่เดินหน้าต่อไปด้วยกันเรื่อยๆ แล้วฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้การเดินหน้าไปของสภาพนี้มันเปลี่ยนไปต่อไปได้
“มันมีหลายเรื่องเลยนะครับที่เกิดขึ้น แล้วก็มาเป็นระลอกๆ แล้วเราก็พยายามแก้ปัญหาทุกรอบ จนเราไม่รู้ว่าฟางเส้นสุดท้ายมันอยู่ตรงไหน เพราะเข้ามาหลายทาง และหลายลักษณะ”

มีอะไรที่เกิดขึ้นแล้วทำให้เรารู้สึกว่ามันไม่ปลอดภัยมากจนถึงขั้นว่าไม่ได้แล้ว จนต้องหยุด
“มีคนแปลกหน้ามาที่บ้านมาติดตามทวงถาม ซึ่งก็ไม่ได้มาแค่ครั้งเดียว”

ซึ่งหนึ่งในนั้นคือมีเจ้าหนี้ที่แม้แต่เป็นเพื่อนของเราเองด้วย แปลว่าเราไม่รู้ว่าไปติดต่อหยิบยืมยังไง แต่เพื่อนเรากลายเป็นเจ้าหนี้
“ใช่ครับ ก็เหมือนว่าคนรู้จักฝั่งผมถูกไหมครับ แต่เรื่องการหยิบยืมมันเป็นเรื่องของการพึงพอใจเราต้องเรียนแบบนี้ก่อนถูกไหมครับ ใครพึงพอใจที่จะให้ใคร แต่เมื่อความสัมพันธ์ของเราสองคนถูกบอกให้สังคมรับรู้แล้วว่ามันยุติ เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่เป็นคนใกล้ชิดของผม ถ้ามันไม่เหนือบ่ากว่าแรงผมก็ต้องเป็นคนที่จัดการ เหมือนที่ผมเคยให้สัมภาษณ์ไปว่าผมก็ต้องเหมือนเริ่มนับหนึ่งใหม่ เหมือนกับใช้หนี้ส่วนหนึ่ง อีกส่วนก็ต้องเก็บไว้ให้ วีจิ ในอนาคต อีกส่วนก็ต้องเอาไว้ดูแลแม่ครับ”

แต่ของบางอย่างที่เราให้ความไว้วางใจให้เข้าเก็บเอาไว้เช่นทองของลูกต่างๆ นานา ตรงนั้นหายไปหมดหรือเปล่า
“ผมไม่ทราบว่าหายไปหมดหหรือไม่หมด เพราะทองไม่เคยอยู่กับผมเลยตั้งแต่วันแรกที่ได้รับมา เพราะผมไม่ได้เป็นคนเก็บ แต่ผมเรียนตรงนี้เลยว่าแม้แต่สลึงเดียวก็ไม่ควรหายไป รักลูกก็ต้องรักษาสมบัติที่เป็นของลูกไว้ด้วยครับ ส่วนของที่ มอส เพื่อนรักของผมทำมาให้เป็นล็อกเก็ต หลังจากที่ผมโพสใบหย่าไปแล้วผมก็บอกขอความกรุณาใครที่ได้ทำธุรกรรมไม่ว่าเรื่องใด ก็ตามก็ให้ไปติดต่อกันเองเพราะว่าไม่ได้พักอาศัยอยู่ที่บ้านผมแล้ว แล้วผมกับลูกไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง พี่ที่เป็นมอเตอร์ไซค์ที่คอยดูแลบ้านเราเขาก็เอาล็อกเก็ตมาคืนผม เขาก็บอกว่ามันเกือบจะต้องไปอยู่ที่ร้านทองแล้วนะครับ แต่เขาตัดสินใจเอาเงินส่วนตัวเขาให้แล้วเขาเก็บเอาไว้ให้เรา ซึ่ง พี่มอส เจ้าของล็อกเก็ตเขาก็เข้ามาแซวเราว่ายังดีที่เหลือของเขาไว้หนึ่งอัน ซึ่งพี่มอสเขาเป็นคนน่ารักมากให้คำปรึกษาผมอยู่ตลอดเวลาวิธีการเลี้ยงลูก ดูแลลูก อย่างคำนิยามของ ศรราม พี่มอส เขาให้คำที่ดีมากก่อนแต่งงานว่า พี่หนุ่ม ก็เหมือนคนขับรถ แล้วไม่รู้จะไปไหน แต่พอมีลูกแล้ว ตอนนี้เข้ารู้แล้วว่าเขาขับรถแล้วเขาจะไปไหน เห็นเป้าปลายทางของเรา คือ วีจิ

หลังจากที่ผมโพสใบหย่าไปผมไม่ใช่คนที่ออกสื่อ ถ้าสังเกตผมจะไม่ได้ออกไปพูดอะไรทั้งสิ้นเลย พอเราทราบความจริงจากรายการต่างๆออกไปผมได้มีโอกาสไปออกรายการ แฉ ของพี่ฉอด ครั้งเดียว และนักข่าวตามไปสัมภาษณ์ผมตามงานอีเว้นท์เท่านั้น”


ในตอนนั้นที่บอกว่าเสียความรู้สึกแต่ยังรักไหม
“ก็รักนะครับ รัก แล้วก็ ณ ตอนนั้นก็พยายามทำความเข้าใจแต่เราก็ไม่รู้ว่าอะไรคือต้นเหตุจริงๆ เราก็ทำได้แค่จัดการแก้ไขสถานการณ์ที่มันเกิดข้างหน้าให้มันผ่านไปให้ได้ให้มันดีที่สุดในแต่ละเคสๆไป”

รู้ว่าลูกยังเล็กแต่ได้บอกลูกสื่อสารหรือมีการพูดคุยกันถึงเรื่องนี้กันยังไง
“ไม่มีเลยครับ ผมจะพยายามระมัดระวังในสิ่งที่ถึงแม้ วีจิ เขาอาจจะยังรู้เรื่องหรือไม่รู้เรื่องก็ตาม ถ้าเขายังอยู่ในวัยที่เขายังไม่รู้เรื่องก็ไม่ต้องรู้เรื่องเพราะพ่อ หรือ แม่ ก็ไม่ควรพูดบางสิ่งอย่างให้ลูกฟัง เขาควรจะฟังในสิ่งที่เขาควรจะฟัง”

ตอนนั้นได้ปรึกษา คุณย่า ไหม
“ไม่ครับ ไม่ปรึกษาใครเลย ซึ่งคุณย่ารู้เรื่องและเราเชื่อว่าแม่น่าจะทุกข์พอสมควร ตอนนั้นตัดสินใจได้ไม่ยาก เพราะเข้ามาแล้วรู้สึกไม่ปลอดภัยกับลูกกับแม่คือไม่ได้แล้ว”

ในเวลาที่เกิดปัญหาครอบครัวเกิดขึ้นต้องแยกกัน คือ ไม่มีใครไม่ว่าเพศไหนหรอกที่อยากจะแต่งงานแล้วมาแยกย้ายกันทีหลัง ทุกคนก็อยากจะมีชีวิตครอบครัวที่แบบยาวนาน แต่ในความที่เป็นผู้ชายมีวิธีในการแสดงออกถึงปัญหาการแยกกันยังไง เสียใจไหม ร้องไห้ไหม
“ผู้ชายก็ร้องไห้เป็น ระยะแรกๆ ก็เป็นนะครับ มันเหมือนกับว่าเราก็เคยอยู่กันเป็นครอบครัวก็นอนที่พื้นกันสามคนพ่อแม่ลูก แต่มันก็ต้องเข้มแข็ง เพราะถ้าเราไม่แข็งแรงเพียงพอเราก็ไม่สามารถพาลูกและตัวเราออกจากจุดตรงนั้นได้ และคิดถึง วีจิ เราก็ไม่ร้องแล้วครับ มันไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกคือ ร้องแล้วทุกอย่างมันดีขึ้นผมจะร้องแต่ถามว่ารู้สึกซึมๆ ดาวน์ๆ ไหมมีนะครับ แต่พอเราหันไปเจอ วีจิ คือ ก็หายครับ”

เราเชื่อมั่นในความเป็นคุณพ่อขนาดไหน ลูก จะไม่ขาดแน่นอน
“เชื่อมั่นในตัวเองมากครับ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมคิดผมไม่ได้คิดถึงตัวเองแต่ผมคิดถึง วีจิ คนเดียว”

ตอนนั้นทัวร์ลงเลย
“อาจจะเป็นเพราะว่าคนยังไม่เข้าใจว่าต้นสายปลายเหตุมันคืออะไร (แล้วเวลาที่เราไปอ่านเขาวิเคราะห์วิจารณ์เราในมุมที่เขาไม่ได้รู้จริงอย่างนี้ถามว่ารู้สึกอย่างไรบ้าง) คือตอนนั้นเราแทบจะไม่ได้โฟกัสคอมเมนต์ในโซเชียลเลยครับ เราพยายามที่จะโฟกัสแค่ครอบครัวเราก่อน จะทำยังไงให้ครอบครัวของเราสามารถไปต่อได้”

ผ่านจุดที่ยากที่สุดตรงนั้นมาได้ยังไง
“อดทนแล้วก็มีลูกเป็นที่ตั้งอย่างเดียว ไม่เอาความรู้สึกตัวเองมาตัดสินใช้ วีจิ เป็นตัวตั้งแล้วก็มาบวกลบคูณหาร แล้วถ้าเกิดผลลัพธ์กระทบต่อลูกแม้แต่นิดเดียวเราจะไม่ทำ”

ซึ่งการเป็นแม่ลูก คือ ต้องเป็นแม่ลูกกันตลอดชีวิต การเจอกันของแม่ลูกเรามีกำหนดอะไรไหม
“ตอนแรกก็คือ เจอตามปกติครับ เราก็นัดเจอกันที่ร้านอาหารทานข้าวกันทั้งครอบครัว พอเจอกันครั้งแรกเสร็จต่างคนก็ต่างทำงานแล้วคุณติ๊ก ก็ไปติดต่อมูลนิธิ มูลนิธิหนึ่งขออนุญาตไม่บอกชื่อแล้วคราวนี้ผมติดถ่ายละครอยู่ ซึ่งถ่าย 7 วันติดแล้วเราเลยให้ที่ปรึกษาไปดูว่ามูลนิธิที่เขาติดต่อไว้เป็นยังไง สะอาดไหม ก็ปรากฏว่ามันไม่โอเค แต่เป็นความต้องการของคนที่เป็นแม่ แต่พอทำความต้องการของเขาไปที่แรกผมรู้สึกว่าผมไม่โอเคไม่ปลอดภัย คุณติ๊ก เลยไปประสานงานกับภาครัฐอีกที่หนึ่ง คราวนี้ผมมีวันว่าง ผมไปดูด้วยตัวผมเองแล้วผมก็โอเค แล้วให้เขานัดที่นี่ เป็นที่กลาง ซึ่งก็นัดเจอกันสองครั้งแล้ว

ผมไม่เคยห้ามไม่ให้แม่ลูกเจอกันเลยครับ แล้วก็มีข่าวออกมาว่าถ้าใช้หนี้ฝั่งผมไม่หมดแล้วจะไม่ให้เจอลูกคือไม่เกี่ยวเลยคือ คุณติ๊ก ใช้หนี้หมดหรือไม่หมด ผมก็ให้เจอลูกอยู่แล้ว หรือคุณติ๊ก ใช้หนี้หมดหรือไม่หมดก็ไม่ใช่เรื่องของผมแล้ว แต่เพียงแต่ว่าเรื่องลูก คุณติ๊ก เป็นคนเสนอมาแล้วผมก็เห็นว่ามันเหมาะสมแล้วผมก็ทำตามแล้วก็ให้ไปเจอสองครั้งแล้วครับ แล้วผมกำหนดว่าระยะแรกขอเป็นเดือนละสองครั้งก่อนเพราะว่าผมงานเยอะจริงๆ ตอนนี้

การที่ไปเจอคือ ครั้งแรกที่ไปผมถ่ายอินสตราแกรมให้ ถ่ายรูปให้ ผมก็พยายามทำบรรยากาศให้มันเหมือนเดิมก็มีคอมเมนต์เข้ามาว่า อยากจะให้กลับมาอยู่ด้วยกันใหม่กันทั้งบ้าน เพราะเราก็เรียกเขาเหมือนเดิมว่า แม่จ๋า ป้อนน้ำให้ วีจิ คนก็เข้ามาอยากให้กลับมาเป็นครอบครัว ไม่มีแล้วครับ (แล้วที่มีหลายคนถามว่ามาเจอที่บ้านไม่ได้เหรอ) เพราะที่บ้านเราแจ้งไปแล้วไงครับ เราลงบันทึกประจำวันไปแล้วว่าเขาไม่ได้อยู่บ้านหลังนี้ เพราะฉะนั้นถ้าจะเจอต้องเจอกันที่กลางเพื่อความปลอดภัยของ วีจิ”

แล้วถ้า พี่หนุ่ม งานลดลงน้อยกว่านี้จะสามารถเจอกันได้สองครั้งไหม
“คือว่าตอนนี้เรื่องมันไปถึงหน่วยงานภาครัฐแล้ว เขาก็จะประเมินความประพฤติของพ่อแม่และเด็ก และความเหมาะสมว่าเป็นอย่างไร เพราะทางเขาเป็นคนจัดให้ไปเรียบร้อยแล้วครับ”

ผ่านความยากเย็นมาจนถึงทุกวันนี้มีประโยคไหนไหม ที่เป็นประโยคที่ให้กำลังใจตัวเอง
“มีครับ ผมก็จะบอกตัวเองอยู่เสมอว่า สิ่งหนึ่งที่จะปลูกฝังให้ลูกเรื่องแรกเลยคือ การมีสัมมาคารวะ รู้จักกตัญญูรู้คุณ รู้จักตอบแทนพระคุณคนที่มีพระคุณกับเรา ตอบแทนคุณแผ่นดิน ผมเชื่อว่าความกตัญญูคือเป็นสิ่งแรกที่มนุษย์พึงจะมี และสิ่งหนึ่งที่ผมจะพูดอยู่เสมอว่าผมมีปัญญาเลี้ยงลูกได้แค่ไหน ผมก็จะเลี้ยงเท่านั้น เพราะว่า ผมจำคำสอนของในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ว่าความพอเพียงมันไม่ใช่แค่การกระทำอะไรเกินกำลัง แต่ความพอเพียงนั้นมันคือ การลดความต้องการของตัวเองลง และเมื่อเราลดความต้องการของตัวเองลงได้เราจะไม่เบียดเบียนผู้อื่นครับ”

จะเป็นพ่อที่ห่วงลูกสาวไหม
“ตอนโตผมก็มีคำพูดที่เตรียมไว้แล้วครับ คือ ถ้าคิดว่าไม่ใช่ก็ไม่ต้องพามาเจอไม่ชอบรับไหว้ใครเยอะๆ”

แล้วในวันข้างหน้าสำหรับตัว หนุ่ม จะเปิดใจ เผื่อมีใครแวะเวียนมาใหม่ไหม
“ยังไม่ได้คิดเลยครับ คือเราไม่รู้ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้ วีจิ มาอันดับหนึ่งอยู่แล้วครับ ไม่ได้คิดเรื่องอื่นเลยครับ เพราะเดี๋ยวสองขวบครึ่งก็ต้องเข้าโรงเรียนแล้ว”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image