“ผมเป็นคนที่มักจะได้โอกาสตอนสถานการณ์หยุดชะงัก”
“จริงๆนะครับ” จารุวัฒน์ เชี่ยวอร่าม ที่แฟนๆคงคุ้นเคยกว่าถ้าจะเรียกเขาว่า โดม เดอะ สตาร์ ย้ำ เมื่อหน้าตาเราสื่อสารว่ากำลังสงสัย และคงเพราะเห็นอย่างนั้น เขาจึงให้รายละเอียดเพิ่ม โดยว่า “ถ้าย้อนไปตอนเดอะ สตาร์…” ซึ่งนั่นคือช่วงปี พ.ศ. 2554 ที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ในกรุงเทพ ทำให้นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งจากบ้านเกิดมาพักในกรุงตัดสินใจเดินทางกลับบ้านที่จ.ภูเก็ต ในช่วงที่รายการประกวดร้องเพลงชื่อดังกำลังไปเปิดรับสมัครผู้เข้าแข่งขันในภาคใต้ จึงตัดสินใจ “ลองดู” แล้วก็คว้ารางวัลชนะเลิศ ได้โอกาสในการทำงาน เป็นทั้งนักร้อง นักแสดง และพิธีกร
แล้วล่าสุดในช่วงโควิด-19 ระบาดหนัก เขาก็ถูกทาบทามให้ไปบริหารค่ายเพลง ไปเป็นกรรมการผู้จัดการที่มีอำนาจตัดสินใจเด็ดขาด ที่คนในวัย 29 ปี อย่างเขาพูดกับเราแบบเปิดใจว่า เป็นเรื่องที่คิดไม่ถึง
“ก็ยังงง ว่าเราไม่ได้มีประสบการณ์ แล้วอายุยังน้อย ยังไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน แต่เขาบอกว่าด้วยประสบการณ์ที่เราทำงานในวงการ เป็นคนที่อยู่เบื้องหน้ามา ฉะนั้นเราก็จะรู้ว่ากว่าจะได้งานออกมาให้ทุกคนได้เห็น มันผ่านอะไรมาบ้าง แล้วเบื้องหลังทำงานหนักขนาดไหน มีองค์ประกอบอะไรที่ทำให้งานออกมาดี เขารู้สึกว่าการทำงานในวงการบันเทิง 8 ปีของผมมันน่าจะมีประโยชน์”
ดังนั้นเมื่อหารือกับบริษัทเอ็กแซกท์ ซีเนริโอ ซึ่งเป็นต้นสังกัด คุยกันชัดเจนว่าจะทำในส่วนบริหาร ไม่ได้ไปเป็นศิลปินออกผลงานของตัวเอง สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจตอบรับและรันงาน Lit Entertainmeant มาได้พักใหญ่
เมื่อถามความรู้สึกของคนเบื้องหน้า ที่ผันตัวไปเป็นเบื้องหลัง คำตอบก็มาทันควัน อย่างรัวๆ ว่า “ยากครับ ยาก ยากมาก”
“จริงๆคือยากคนละแบบ เบื้องหน้ามันก็มีอะไรที่ต้องแบกแบบหนึ่ง เพราะว่ามันคือฟร้อนท์แมนที่ต้องออกไปเผชิญกับทุกอย่าง ต้องแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้้นเฉพาะหน้าให้ได้ในทันที แต่เบื้องหลังก็ต้องแบกเหมือนกัน แบกชีวิตของเด็กคนหนึ่ง ทำไงให้เขาประสบความสำเร็จที่สุด ให้แฮปปี้กับเส้นทางนี้มากที่สุด มันคือความรับผิดชอบชีวิต รับผิดชอบความฝันของเขา”
“ซึ่งก็ทำให้เข้าใจทีมงานที่ผมเคยฝากชีวิตกับเขามาก่อน”
ด้วยเหตุนี้ พอวันหนึ่งมีโอกาสได้เจอคนที่ทำหน้าดูแลเหล่าผู้เข้าประกวดเดอะ สตาร์ คนที่ “เหมือนเป็นแม่ของเดอะ สตาร์ มาทุกรุ่น’ เขาจึงตรงเข้าไปกอด และบอกขอบคุณ
“บอกเขาว่าขอบคุณมากนะ ขอบคุณมาก ผมเข้าใจแล้วว่ามันยากมากในการดูแลเด็ก ในการที่จะทำให้ทุกอย่างออกมาดี”
“ก่อนหน้านี้เราแค่รู้สึกว่าเขาก็มีหน้าที่ที่ต้องดูแล มันเป็นงาน แต่จริงๆมีอะไรมากกว่านั้น เขาต้องดูแลยังไงให้ทุกคนรู้สึกมีความสุขที่สุด ไม่เครียด ไม่กดดัน เพราะถ้าเครียดหรือกดดันปุ๊บ ส่งผลต่อการทำงานแน่ๆ”
“ผมเองตอนทำงานก็มองว่าจริงๆที่เราบริหารคือคน ไม่ได้บริหารคอมพิวเตอร์หรือหุ่นยนต์ มันมีความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้อง บางทีเราอยากได้สิ่งนี้ จะพูดตรงๆก็ได้ ว่าอันนี้มันแย่ มันห่วยมาก แต่เราก็ต้องคิดถึงว่ามันมีเรื่องของจิตใจ ของความรู้สึกมาเกี่ยวข้อง จะทำยังไงให้โอเคที่สุดกับทุกฝ่าย แล้วด้วยความที่เราเป็นเบื้องหน้าแหละ เราเจอทั้งคำชมและคำด่า รู้ว่าอะไรที่ผลักดันเรา อะไรที่มันดึง มันรั้งเราเอาไว้ เพราะฉะนั้นก็จะเข้าใจหัวอกคนทำงาน”
ทั้งนี้ในส่วนงานเพลงในการดูแลของเขา โดมบอกว่าคงจะได้เห็นกันปีหน้า ขณะที่งานแสดงกับช่องวัน ก็น่าจะได้เห็นเช่นกัน ด้วยตอนนี้เขากำลังถ่ายทำละครอยู่ 2 เรื่อง คือ ‘ภูผาผีคุ้ม’ และ ‘แก้วลืมคอน’
ทบทวนห้วงเวลาตั้งแต่เข้ามาในวงการ โดมบอกว่าสำหรับเขา 8 ปีที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่ “ดีมาก”
หาก “ไม่ได้ดีเพราะราบรื่นนะ”
“ดีเพราะมันขรุขระ”
“เพราะถ้าชีวิตราบรื่น ผมคงไปไหนแล้วไม่รู้ นี่ยังขอบคุณที่เส้นทางมันยังมีบทเรียนให้เราได้เจอ เจอวันที่มันขึ้น วันที่มันลง เจอหลายอย่างที่เป็นบทเรียนกับชีวิต จนเราไม่หลงระเริง”
“บางทีเราไปถึงจุดนี้ เราคิดว่าดีแล้ว พอแล้ว แต่ไม่ใช่ ยังมีอีกหลายจุดเลยที่ต้องไป แล้วก็มีบทเรียน บททดสอบใหม่ๆเข้ามา”
หนึ่งในบททดสอบที่เคยเจอ เช่นการที่อยู่ดีๆก็ถูกวางตัวให้เป็นพระเอกในซิทคอมเรื่อง ‘ยีนเด่น’ ทั้งๆที่ไม่เคยประสบการณ์แสดงอะไรมาก่อน แถมรูปร่างหน้าตาก็ไม่ได้เป็นแบบพิมพ์นิยม
“สุดท้ายฟีดแบคที่ได้ คือมันสนุก แต่ไม่ดัง ไม่มีคนดู ไม่ใช่สิ่งที่คนคุ้นเคย มันใหม่เกินไป”
แล้วซิทคอมเรื่องนั้นก็ปิดกล้องไป
“จำได้ว่าวันที่รู้คือเฟล งงไปหมด มันเกิดจากอะไร เราทำไม่ดีหรืออะไร โทษตัวเอง โทษไปหมด แต่พอผ่านเวลามาแล้วถึงได้เข้าใจว่าคนเรามีช่วงเวลาของมัน แล้วบางอย่างก็มีช่วงเวลาของมันเช่นกัน”
“หลังจากนั้นก็มีจังหวะทดสอบอื่นมาตลอด เป็นพิธีกร 4 โพดำ แสดงละครเวที ผมเลยรู้สึกว่าถ้าสมมุติทำซิทคอมแล้วดังเปรี้ยงปร้าง ไปต่อไม่หยุด ชีวิตผมอาจเละเทะไปแล้ว เพราะเราคงเหลิง สนุกไปกับคำชม กับความสำเร็จ”
“ที่ 8 ปี มันอยู่มาได้ด้วยความสุข จึงเป็นเพราะมีอะไรที่ท้าทายตัวเองให้ต่อสู้”
“ให้ไม่หลงระเริง”
ส่วน ณ ปัจจุบัน โดมบอกว่า หลังจากเป็นคนเบื้องหน้ามานาน ถึงตอนนี้เขาเริ่มมีความรู้สึกอยากทำงานใน ทางอื่นๆ ทำงานเบื้องหลังมากขึ้น ซึ่งตอนนี้ก็ได้โอกาสแล้ว
“และผมก็ตั้งใจว่าจะทำให้ดีที่สุด กับโอกาสที่ได้มา”