ณเดชน์ คูกิมิยะ จาก ‘วันนั้น’ ถึง ‘วันหน้า’

 

เมื่อนึกย้อนไปถึงวันวาน คือเมื่อราวๆสัก 10 กว่าปีก่อน ในตอนนั้น ณเดชน์ คูกิมิยะ บอกว่า ไม่ใช่แค่ ‘ไม่เคยนึก’ กระทั่งฝัน เขายังไม่เคยฝัน ว่าจะชีวิตจะก้าวมาเป็นอย่างทุกวันนี้

*ใน ‘วันนั้น’ 

“วันแรกที่พี่เอ (ศุภชัย ศรีวิจิตร) ไปคุยกับแม่ ผมแทบจะไม่สนใจเลยนะ ก็ออกจากบ้านไปฟิตเนส ไม่รู้ว่าเขาคุยอะไรกัน ไม่ได้มีความคิดว่าเราจะได้มาเป็นนักแสดง เด็กวัยรุ่นต่างจังหวัดคนหนึ่งน่ะ เรื่องพวกนี้มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำ เราก็ไม่ได้คิดว่าเราหน้าตาดีอยู่แล้ว”

Advertisement

“แต่ปุ๊บๆผ่านไปแป๊บเดียวเอง ก็มาถึงวันนี้แล้ว”

*เรื่องของ ซุป’ตาร์

Advertisement

“ทุกวันนี้ยังมองภาพตัวเองว่า เราเป็นแค่หนึ่งในนักแสดง ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นซุปเปอร์สตาร์”

ซึ่งจะว่าไป การรู้สึกอย่างนั้นน่าจะเป็นเรื่องที่ดี

“ผมว่าการรู้ตัวเองว่าเป็นใคร อยู่ตรงไหน แล้วจุดเริ่มต้นของเรามาจากไหน มันจะทำให้เราย้อนกลับไปมองเสมอ ว่าจริงๆแล้วเราเป็นใคร เป็นคนยังไง หรืออะไรที่ไม่ใช่ตัวเรา”

อย่างไรก็ดีเขายอมรับว่า มีเหมือนกันที่บางครั้งที่ ‘เผลอไป’ แต่โชคดีที่ได้ ‘คำเตือน’

“บางครั้งเรามองเห็นตัวเอง แต่บางครั้งคนอื่นก็มองเห็น แล้วมาเตือน มาพูด”

ซึ่ง “ถ้าเรารับฟังและปรับตัว แก้ไข ก็อาจจะทันเวลา แต่ถ้าเราเพิกเฉยก็จะเสียโอกาสตรงนั้นไป แล้วก็อาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราเป็นทุกวันนี้”

ผลจากการเป็นคนดัง ณเดชน์บอกว่าสิ่งหนึ่งที่เห็นชัด และมีอยู่พักหนึ่งซึ่งไม่ชอบเลย คือความรู้สึกที่ว่าไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง

“เราเหนื่อย ไม่อยากเจอใคร ไม่อยากนู่น นี่ กับใคร ไม่อยากให้คนที่ไม่รู้จักมารุมล้อม ก็เกิดเป็นอารมณ์”

“แต่สักพักหนึ่งมันก็ผ่านไป”

“ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ผมรู้สึกว่าผมเข้าใจ แล้วกลายเป็นเรื่องยินดีมากกว่า”

ยินดีกับเรื่องต่างๆที่เคยเป็นอารมณ์นั่นละ

“มันเหมือนอะไรไม่รู้เปลี่ยนความคิดเรา แล้วเราก็เปลี่ยนตัวเองใหม่”

อย่างที่แฟนๆได้เห็นกริยาอาการยิ้มแย้มแจ่มใส จนชื่นใจทุกครั้งที่ได้เจอเขานั่นล่ะ

….

*คำติ-คำชม

กับเรื่องนี้ ณเดชน์บอก “ผมเป็นคนที่โชคดีมาก ที่ผมชอบ” เผยความรู้สึกเรื่อง ‘คำติ’ ที่เจอ แล้วพระเอกคนดังก็หัวเราะร่วน

“เพราะหนึ่ง ผมได้รู้จุดว่าตรงไหนบ้างที่เขามอง”

“สมมุติคนวิจารณ์ละครเรื่องนี้ หรือวิจารณ์งาน ก็ดูสิว่าที่เขาพูดจริงหรือเปล่า ถ้าลึกๆเรารู้ว่ามันจริง แก้ไขเลย ถึงแม้ปากจะบอกว่าไม่ใช่”

นอกเหนือไปจากนั้น ยังมองว่า คำติต่างๆดังกล่าวจะเป็นเหมือนเกราะ ที่ค่อยๆสร้างให้ตัวเขาเองรู้สึกแข็งแกร่งกับถ้อยคำของผู้คน

“บางทีไม่ได้แค่วิจารณ์ แต่ด่าเลย”

“พออ่านปุ๊บ เราก็อืมม…โอเค เข้าใจว่าคนประเภทนี้เขาเป็นยังไง แล้วเราก็ลืมมันไป บางครั้งก็ขำ บางครั้งก็รู้สึกตลก แต่ว่าไม่เคยเครียดเลย ไม่เคยเอามาเป็นปัญหาในชีวิต”

แต่เดี๋ยวก่อน ที่เขาบอกน่ะ หมายถึงในช่วงหลังๆ เมื่อผ่านประสบการณ์ ‘โดนหนัก’ มาสักระยะ

“แรกๆก็แย่เหมือนกัน แต่พอเวลาผ่านไป เราโตขึ้น มันก็กลายเป็นความเคยชิน”

ในส่วนของคำชม ก็บอกตรงๆว่า “อยากได้ยิน”

“แต่ชมว่าหล่อ ก็ไม่ใช่นะ คือหมายถึงว่า ถ้าเป็น เฮ้ย! พี่ไปดูเรื่องนี้มา โอเคนะ เราดีนะ อะไรอย่างนี้มันดีใจ แล้วรู้สึกขอบคุณมาก รู้สึกว่ามันเป็นวันที่ดี รู้สึกว่าเราทัชจริงๆกับการชมในเรื่องของผลงาน”

“ถ้าชมว่าหล่อ ก็จะเฉยๆ”

*เลโก้-ของมีค่า และหนังสือที่ไม่เคยอ่านจบ

“เป็นคนชอบเลโก้ ชอบหุ่นรบ ตัวต่อ ที่บ้านเต็มเลย อยู่ในตู้โชว์”

“แล้วเป็นคนชอบหนังสือ ชอบซื้อหนังสือ แต่ไม่ชอบอ่าน” เล่าถึงพฤติกรรมตัวเองแล้วเขาก็ยิ้ม

“โรคจิตมาก คือเห็นหนังสือ อ่านปกหน้า ปกหลัง อุ๊ย เล่มนี้ดีอ่ะ ซื้อมา เชื่อไหมว่าผมมีหนังสือที่ซื้อตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมเกือบ 100 เล่ม ประมาณ 20 เล่มคือที่เพิ่งซื้อมาใหม่ๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องความรู้อย่างเดียวนะครับ บางทีเป็นหนังสือทำความสะอาดบ้าน หรือจัดแก้วน้ำด้วยดอกไม้”

“แต่ไม่มีเล่มไหนอ่านจบ” บอกพลางหัวเราะ

ส่วนสารพันของมีค่า เขาบอกว่าเคยเห่อซื้อนาฬิกาอยู่พักหนึ่ง

“แต่วันหนึ่งก็บอกตัวเองว่าซื้อไปไม่เคยได้ใส่เลย แล้วพอมาเปิดดู ก็โอ๊ย ทำไมมันเยอะแบบนี้เนี่ย จะใส่อะไรดี เลยทำให้เลิกซื้อไป รถยนต์แพงๆก็เคยซื้อ แต่ตอนขายรู้สึกว่าเงินหายไปครึ่งหนึ่ง แล้วผมก็ไม่ซื้อรถแพงๆอีกเลย ก็ใช้รถบ้านง่ายๆ คือเราเจอ เราผ่านมาแล้ว ก็รู้สึกว่าพอแล้วกับอะไรบางอย่างที่ไม่ได้จำเป็น อยากเอาเงินไปเที่ยว ชอบกิน ชอบเที่ยว เวลาพาที่บ้านไปเลี้ยงของดีๆ ของอร่อย รู้สึกมีความสุขมาก บอกมาเถอะ อยากไปกินอะไร ยินดีจ่ายให้หมด อยากไปเที่ยวก็จ่าย เป็นล้านก็จ่าย ถ้าให้ครอบครัว คนที่เราดูแล”

*เป็นผู้ฟังที่แย่ (หรือเปล่า?)

“จริงๆผมเป็นคนที่ไม่ชอบอะไรที่เนเกทีฟเลย”

“เวลาเจอคนเครียด คนทะเลาะกัน คนด่ากัน เจอคนไม่มีความสุขอะไรอย่างนี้ จะไม่อยู่นะ ไม่ฟัง ไม่อยากยุ่งเกี่ยว”

วิธีการถือถ้าไม่เดินหนี ก็จะหาทางเปลี่ยนเรื่องคุย หรือไม่ก็ “เออๆเหมือนจะรับฟัง แต่จริงๆคือไม่ คิดเรื่องอื่นอยู่ แล้วก็รับๆไป”

“ไม่รู้เป็นผู้ฟังที่แย่หรือเปล่านะ” ประเมินตนแล้วเขาก็หัวเราะ

ก่อนบอกว่า “คือถ้าคนจะมาปรึกษาเรื่องปัญหา เราจะไม่ค่อยได้เท่าไหร่ เพราะเราจะไม่เห็นด้วย ถ้าใครคิดลบ”

*ขอ 3 คำถึงญาญ่า และวันหน้าที่จะมาถึง

ภาพจาก @kugimiyas

“น่ารักมาก” คือคำตอบที่เขาให้

แต่ถ้าไม่ได้จำกัดจำนวนคำชัดเจนขนาดนั้น ณเดชน์ก็ว่า “จริงๆแล้วญาญ่าเป็นคนตลกนะ เป็นคนอ่อนโยน แล้วก็ขี้เกรงใจ”

ในวัย 29 ปี ณเดชน์บอกว่าในความคิดของเขา ความรักเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้

“เพราะว่ามันจะทำให้เรารู้สึกว่าเรามีคุณค่ากับอะไรบางอย่าง”

“ผมไม่ได้หมายความว่ารักเฉพาะกับคนนะ รักในงาน รักในธรรมชาติ รักในต้นไม้ รักในเสียงเพลง หรืออะไรก็ตาม มันสร้างความเชื่อ สร้างความศรัทธา สร้างคุณค่าให้กับตัวเราเอง แล้วยิ่งได้รู้จักกับความรัก มันยิ่งทำให้เรามีความสุขในทุกๆครั้งที่เราได้สัมผัสกับมันนะครับ”

“ตอนนี้ถ้าพูดว่าความรักทำให้เราเห็นอะไร อยากจะบอกว่าความรักทำให้เราเห็นคุณค่าในตัวเอง คุณค่าที่จะคู่ควรกับสิ่งที่เรารัก”

ส่วนว่าจะแต่งงาน ใช้ชีวิตคู่ด้วยกันเมื่อไหร่? เขาก็ว่าคงตอบชัดๆตอนนี้ไม่ได้

“ถ้าพูดถึงแต่งงาน ผมว่ามันไม่ได้ตายตัวเสมอไป ว่าจะเป็นสิ่งที่จำกัดความว่าคือชีวิตคู่”

“ผมว่าชีวิตคู่ของผมกับน้องมันเริ่มต้นมาตั้งแต่การเรียนรู้จากกันแล้ว แล้วก็กลายเป็นความเข้าใจ เป็นความผูกพัน เป็นความรัก”

ส่วนเรื่องของการแต่งงานแน่นอนว่า ก็คิดๆอยู่ “แต่เราไม่เคยกดดันตัวเอง เขาก็ไม่เคยกดดันเรา”

พร้อมที่สุดเมื่อไหร่ ก็เมื่อนั้น

“เมื่อเราพร้อมจนไม่ไหว เมื่อนั้นแหละครับน่าจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด”

ว่าอย่างนั้น.

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image