น้ำขึ้น(ไม่)รีบตัก แนวคิดแบบ ‘เต๋า ภูศิลป์’ หมอลำสโลว์ไลฟ์

“งานบันเทิง” นอกจากรายได้ดี ยังมีโอกาสต่างๆ ตามมาอีกมากมาย ทำให้หลายคนมุ่งมั่นทุกวิถีทางเพื่อเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง ทว่าน่าแปลกที่จู่ๆ บางคนกลับเข้ามาสร้างชื่อทั้งที่ไม่เคยคาดหวัง อย่าง เต่า-ภูศิลป์ วารินรักษ์ศิลปินค่าย แกรมมี่โกลด์ เครือ จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ นั่นอย่างไร

“ตอนนั้นเหนื่อย เนื่องจากเรียนหนักครับ เหนื่อยมาก อยากจะผ่อนคลายตัวเอง โทรศัพท์ไอโฟนเพิ่งเข้ามาใหม่ๆ ก็เลยอัดคลิปคลายความเครียด ไม่คิดว่าจุดเริ่มต้นตรงนั้นจะกลายมาเป็นอาชีพของเราในวันนี้” นักร้องลูกทุ่งวัย 24 บอกยิ้มๆ

โดยถ้าย้อนไปถึงตอนนั้น ช่วง 3-4 ปีก่อน เขาเป็นเพียงนักศึกษาคณะศิลปศึกษา สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ที่อยากคลายเครียดจากเรื่องเรียนเลยอัดคลิปวิดีโอโพสต์ลงโลกออนไลน์ แล้วก็กลายเป็นที่นิยม

ซึ่งนั่น “อาจจะเป็นเพราะว่าความแปลกใหม่ในช่วงนั้นมากกว่า”

Advertisement

“ช่วงนั้นมีหลายคนพูดว่า หน้าตาผมไม่ควรจะมาร้องหมอลำ เพราะควรจะไปร้องเพลงสตริง ร้องเพลงป๊อปอะไรแบบนี้ แต่จริงๆ แล้วผมชอบแบบนี้ ผมชอบที่จะแสดงออกว่าเราเป็นคนอีสาน เราชอบหมอลำนะ”

ด้วยเพราะว่าตั้งแต่จำความได้ “ย่า” ที่รับความรู้มาจาก “ย่าทวด” ผู้เป็นหมอลำก็ถ่ายทอดวิชาทั้งลูกเอื้อน กลอนลำ ฯลฯ ให้เขามาโดยตลอด จนกลายเป็นความชอบฝังใจ

“ถ้าให้เราไปร้องเพลงสตริง ถามว่าร้องได้ไหม ร้องได้แต่มันไม่ใช่ตัวเรา เราก็ฟังเพลงสตริงตามปกติ ก็ฟังเพลงจากคลื่นวิทยุปกติ แต่พอร้องจริงๆ เพลงหมอรำก็เข้าปากเรามากที่สุด มันปฏิเสธไม่ได้ว่าเราไม่ใช่คนอีสาน ไม่ได้กินปลาร้า ก็คือตัวตนของเรานั้นแหละ จะแสดงความเป็นตัวเองให้ทุกคนเห็น”

Advertisement

ta1

แถมส่วนใหญ่ยังชื่นชอบ ไม่เว้นแม้แต่ค่ายเพลงอย่างแกรมมี่โกลด์ที่รีบคว้าตัวไปทดสอบเสียง และเมื่อผ่านฉลุยก็มีผลงานทยอยตามมาเพียบ ทั้งเพลง หนัง และละคร ที่เตรียมลงจอทางช่อง 3 อย่าง “สงครามเพลง” กับ “รักหลงโรง” โดยเรื่องแรกนั้นต้องโชว์เพลง ส่วนเรื่องหลังต้องร้องลิเก

“มันก็เลือกไม่ได้เนอะ อะไรมีมาเราก็ทำ ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี ต้องขอบคุณที่ทุกที่ให้โอกาส และขอบคุณโอกาสดีๆ ที่เข้ามา” หนุ่มอุบลฯว่าถึงช่วงหลังที่ผันมารับงานแสดงมากขึ้น

พร้อมกับย้ำ “ไม่คิดเลยว่าจะได้เข้าวงการ ไม่คิดเลย ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมาถึงตรงนี้”

“ทุกอย่าง คือ สิ่งที่เราคิดว่าจะไม่สามารถเป็นไปได้เลย ยิ่งมาเป็นนักแสดงยิ่งไม่คิดเลย เราไม่ใช่คนฝันว่าจะมาเป็นดารา มันเป็นอะไรที่ไกลเกินตัว ไกลเกินฝัน”

เพราะถึงจะมุ่งเรียนมาทางด้านนาฏศิลป์ตั้งแต่ชั้นมัธยมปลาย ที่วิทยาลัยนาฏศิลปร้อยเอ็ด แต่ความตั้งใจคืออยากเป็น “ครู” ตามปู่ทวด

“ทวดผมเป็นครูใหญ่อยู่ในโรงเรียนที่ทุรกันดารมาก ต่างอำเภอและค่อนข้างที่จะห่างไกลความเจริญ ได้เห็นถึงความไร้เดียงสาของเด็ก ย่าทวดก็เล่าให้ฟังว่ายังมีเด็กอีกหลายคน อีกหลายที่ที่การศึกษายังเข้าไม่ถึง”

“ครูส่วนใหญ่ที่ต่างจังหวัด ต่างอำเภอ คนหนึ่งจะสอนหลายวิชามาก และยังต้องทำกับข้าวให้เด็กกิน ต้องไปส่ง และถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ สรุปคือครูเป็นทุกอย่าง ซึ่งครูแบบนี้ในปัจจุบันค่อนข้างหายาก ที่จะดูแลและใส่ใจเด็กจริงๆ ผมก็อยากเป็นครู อยากเป็นข้าราชการ แต่ว่าเราได้มาทำงานตรงนี้ก็คว้าโอกาสเอาไว้ก่อน”

ถึงอย่างนั้นก็ไม่ทิ้งความฝัน ด้วยหลังเรียนจบปริญญาตรีก็ต่อโททันที ในหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สหสาขาวิชาการจัดการทางวัฒนธรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ta2

ส่วนงานในวงการแม้จะเห็นโอกาสดีๆ แต่ก็ไม่ถึงขนาดถือคติ “น้ำขึ้นให้รีบตัก”

“เวลาทำอะไรเราค่อยๆ ทำดีกว่า อย่ารีบ”

“ถ้ารีบงานมันจะออกมาไม่ดี ถ้าจะดีมันอาจจะดีแค่ช่วงนั้น สู้เราทำให้ดีไปเลย แล้วให้แฟนเพลง แฟนละครตัดสิน หลังจากนั้นถ้าดีจริงคงมีงานเข้าเยอะๆ อีก”

และแม้วันนี้่เขาอาจจะไม่ได้มาไกล แต่มาแบบเรื่อยๆ ก้าวขึ้นไปทีละขั้น ทว่าสำหรับเจ้าตัวก็ถือว่าเพียงพอแล้ว
“ด้วยความที่เราไม่ได้ตั้งเป้านะว่าประสบความสำเร็จยังไง แต่แค่คิดว่าไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ได้ทำในสิ่งที่อยากลองทำ ทุกๆ อย่างทุกด้าน ทั้งละคร หนัง ร้องเพลง รอบด้าน เหมือนได้ใช้ความสามารถเราเกือบทั้งหมดแล้ว”

“ไม่รู้ว่าประสบความสำเร็จของคนอื่นเป็นยังไง แต่ของผมคือมีความสุขที่ได้ทำในสิ่งที่เรารัก ได้ทำงาน เหมือนไม่ทำงาน เหมือนทำสิ่งที่เราชอบ มีความสุขในสิ่งทำ”

ทุกวันนี้สำหรับเขาจึงถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image