แบม จณิสตา เปิดใจเล่าโดนขู่ตอนเป็นนักการเมือง จะสาดน้ำกรดให้เสียโฉม!

 

ไปเป็นแขกรับเชิญรายการคุยแซ่บโชว์ แล้ว แบม จณิสตา ก็เล่าให้ฟังถึงเรื่องต่างๆนานา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชีวิต เรื่องที่โดนขู่จะสาดน้ำกรดใส่หน้า และการเคยได้รับการติดต่อให้เป็นภรรยาลับ 

ทั้งนี้แบมเริ่มต้นด้วยการเล่าถึงสถานการณ์ธุรกิจร้านอาหารของตัวเองว่า ก่อนหน้านี้เคยมีอยู่ 8 สาขา แต่จากสถานการณ์โควิดตอนนี้ก็เลยเหลือแค่ 6 สาขา

“ต้องบอกว่าหนักมาก ตั้งแต่โควิด 1 ยอดขายที่หายไป จากล็อกดาวน์ ปิดร้าน แล้วก็มาตรการต่างๆ ยอดขายหายไปร่วม 90%”

Advertisement

ส่วนตอนนี้แม้จะมีการผ่อนคลายให้เปิดได้แล้ว แต่ “ตัวเลขมันไม่ได้อยู่ในจุดที่พวกเรามั่นใจ คนก็ยังไม่ได้กลับไปเท่าเดิม เพราะตอนนี้มาตรการรับลูกค้าได้แค่ครึ่งหนึ่ง ซึ่งครึ่งหนึ่งมันไม่สามารถมาต่อสู้กับค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้อยู่แล้ว แต่เราก็พยายามหากลยุทธ์ หารายได้ทางอื่น ทำออนไลน์ สร้างแบรนด์ใหม่ๆ เพื่อให้รายได้อื่นๆ เข้ามา จริงๆ ตอนนี้เป็นนโยบายแบบประคับประคอง” แบมบอก

เมื่อพิธีกรถามเรื่องที่เธอเคยเกิดอุบัติเหตุ จนเป็นข่าวใหญ่ แบมก็ว่าตอนนั้นอายุได้ 17 ปี 

“เลิกเรียนวันนั้นก็ไม่ได้ไปไหน เดินๆ รอรถมารับ แล้วอยู่ดีๆ เหมือนมีรถซิ่งแหกโค้งเข้ามาในโรงเรียนรอบสนามฟุตบอล แล้วดึงเบรกมือ ก็เลยกวาดนักเรียนไปประมาณ 9 คน”

“ถ้าจะพูดถึงความหนัก จริงๆ ก็มีอีกคนก็หนักพอๆ กัน เขาโดนเข้าข้างหลัง ขาหัก 2 ข้าง แต่ในแง่ของแผลที่เกิดขึ้นภายนอกเราเหมือนหนักสุด แล้วก็ใช้เวลาในการรักษาค่อนข้างนาน เพราะมันเป็นเรื่องของเอ็นที่เท้าขวาเหมือนจะขาดไป ใต้เท้าคือเป็นแผลเย็บแบบยาวเลย”

ในช่วงนั้นแบมบอกว่าต้องระวังการติดเชื้ออย่างมาก เพื่อไม่ให้ถูกตัดขา

“แผลเปิดแบบกระจาย แล้วมีการติดเชื้อ ต้องเข้าห้องผ่าตัดทุกวัน ตอนนั้นหมอเริ่มบอกแล้วว่าโอกาสที่จะกลับมาเดินปกติอาจจะไม่มี หรือเหลือน้อย เหมือนกับว่าเราอาจจะเท้าไม่เท่ากัน แล้วหวังว่ามันจะไม่มีการติดเชื้อที่รุนแรงแล้วมันจะลาม จนนำไปสู่การตัดส่วนของรางกายออกไป”

ครั้งนั้นเธอต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลหลายเดือน และก็ต้องเข้าเฝือกนานร่วมปี ต้องกายภาพบำบัด ต้องทำหลายอย่าง 

“ซึ่งมันเป็นปาฏิหาริย์สำหรับเราเหมือนกันนะ ว่าผ่านจุดนั้นมาได้ยังไง แล้วตามมาด้วยเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตอีกมากมาย เข้าวงการอย่างนี้ จากจุดที่เราเกือบเป็นคนที่เดินไม่ได้”

“ทุกวันนี้ความเจ็บไม่เคยหายเลย ส้นเท้าเรามันหายไป เขาเอาเนื้อเซลบางอย่างในร่างกายไปปลูกด้วย เพื่อให้มันหนาขึ้น เวลาเดินลงส้นเท้านี่เจ็บตลอด แล้วเสียดสีก็จะมีเลือดออก เอ็นก็จะเจ็บตลอด คือเจ็บจนเป็นปกติ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว คือเฉียดความเป็นผู้พิการ จะบอกว่าตอนนี้มีความพิการเล็กน้อยก็ได้นะ เพราะมันไม่ครบนะ ร่างกายเราไม่ได้ครบส่วน”

แบมยังเล่าเรื่องราวจากการทำงานสายบันเทิง เป็นนางแบบ พิธีกร มาสู่วงการเมืองด้วยว่า

“พอเรียนจบกลับมา ก่อนที่จะไปเป็นพิธีกรตีสิบ กลับมาเมืองไทยรับราชการก่อน แล้วไม่ได้มีความคิดเลย จะมาทำพิธีกรจริงจัง แต่พอมาทำปั๊บทำให้คนเห็นหน้าเราในความเป็นสาธารณะ และในหมวดที่เราเป็นข้าราชการ เลยมีโอกาสได้เจอพวกผู้หลัก ผู้ใหญ่ที่เป็นนักการเมืองอยู่บ่อยครั้ง แล้วบทสัมภาษณ์ที่ออกมาเราสความสนใจ เพราะเราเรียนรัฐศาสตร์ แล้วก็เรียนโทด้านนี้ เลยเกิดการทาบทามว่ามาลง ส.ส.ไหม เป็นข้าราชการก็ทำงานให้ประเทศได้นะ แต่ถ้าเป็นนักการเมือง เป็น ส. ส. ถ้าได้ร้บเลือกตั้งเป็นปากเป็นเสียงให้ประชาชนเลย ทำได้หลายเรื่องมาก ก็ตัดสินใจอยู่พอสมควร” 

“แต่สุดท้ายตัดสินใจ เพราะได้รับโอกาสที่ดี”

แล้วก็เจอคนโทรมาขู่จะสาดน้ำกรด

“เป็นส.ส. เป็นนักการเมือง 2 สมัย ก็ 8 ปี สมัยแรกเป็นแบบบัญชีรายชื่อ สมัยที่สอง เราไปลงเลือกตั้งแบบแบ่งเขต พอเราลงพื้นที่ มีผู้คนหลากหลายต่อสู้ มีการแข่งกันค่อนข้างเยอะมาก ดุเดือด หลายกลุ่มหลายพวก คนที่ลงแข่งอาจไม่ชอบเรา ก็เจอเรื่องน่ากลัวๆ ตอนนั้นอายุประมาณใกล้ 30 ปี” 

เมื่อถามว่ากลัวไหม? แบมบอก “ตอนนั้นตัวคนเดียวลุคบู๊ ทีมเวิร์ก พรรคพวกเยอะ ก็ไม่กลัวนะคะ เราก็ซ่า”

“ได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนในพื้นที่ พอเราลงไป เขาเฮ เขาอยากให้เรามา มันเหมือนฮึกเหิม แล้วก็ไม่แคร์ เรารู้สึกเรามีประชาชนเป็นโล่ ถ้าอะไรเกิดขึ้น คงเป็นเรื่องอะไรที่ไม่น่าจบง่ายๆ  แล้วตัวคนทำก็ต้องเจออยู่แล้ว ก็เลยคิดว่าไม่น่ามีใครกล้าเอาตัวเองมาเสี่ยง ก็น่าจะเป็นคำขู่”

 เห็นว่ามีเอาปืนมาขู่ลูกน้องด้วย?

“ใช่” เธอบอก

ส่วนว่ารู้สึกท้อไหม แบมบอกมีเหนื่อยเป็นพักๆ ท้อเป็นระยะๆ  แต่ว่าเป็นคนอึด พอได้นอนข้ามคืนก็เหมือนมันมีแรง มีพลัง ก็เลยไม่ค่อยรู้สึกว่าจะถอย

กับข่าวลือเรื่องเป็นภรรยาน้อย แบมบอกตั้งแต่เข้าวงการการเมืองก็มีมาตลอด 

“จริงๆ เราเตรียมตัวในระดับหนึ่ง รู้อยู่พอสมควรว่ามาเป็นนักการเมือง มันเป็นกลยุทธในการที่จะดิสเครดิตอีกฝั่งหนึ่ง เวลาได้ยิน ก็เซ็งนะ เพราะตอนอยู่วงการบันเทิง มันมีแฟนคลับ เราไม่ค่อยโดนอะไรแบบนี้ เป็นที่รัก แต่อยู่ดีๆ ต้องมาโดนป้ายสี”

“แบมเชื่อว่าสุดท้ายความจริงก็ต้องปรากฏออกมา อย่างเรื่องที่โดนกับท่านหัวหน้าพรรคในยุคนั้น ก็จะเป็นประเด็นโจมตี เพราะว่าท่านหัวหน้าพรรคก็เอ็นดูแบมจริงๆในการทำงาน เพราะเราก็เป็นคนทำงานให้พรรค แล้วการทำงานของเราในยุคนั้นก็พิสูจน์ คนที่ติดตามการเมืองในยุคนั้น คนที่ออกมาแสดงและหลุดพ้นจากราคีนี้ก็คือภรรยาและลูกสาวของท่านหัวหน้าพรรค”

ส่วนเมื่อถามว่า แล้วจริงๆมีคนติดต่อมาในเรื่องดังกล่าวบ้างไหม เธอบอก “มันก็คงจะมีนะ แต่ว่าเราก็ต้องมีวิธีหลบหลีก เอาตัวรอด”

แบมยังเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับความรัก ตั้งแต่วันแรกที่ได้พบสามี และความรู้สึกที่มีต่อกันในรายการ

ซึ่งติดตามได้จากคลิปนี้

https://youtu.be/105uFOVHhEY

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image