ติ๋ว อรสา เผยนาทีเฉียดตาย เส้นเลือดในสมองแตก หวิดเป็นอัมพาตครึ่งซีก

ติ๋ว อรสา เผยนาทีเฉียดตาย เส้นเลือดในสมองแตก หวิดเป็นอัมพาตครึ่งซีก

ติ๋ว อรสา พรหมประทาน นักแสดงรุ่นใหญ่มากความสามารถ มาเปิดเส้นทางในวงการที่แสนยาวนานกว่า 50 ปี จากเด็กหญิงกำพร้าสู่นางร้ายแถวหน้าในวงการ พร้อมเผยนาทีเฉียดตายเส้นเลือดในสมองแตก หวิดเป็นอัมพาตครึ่งซีก ในรายการ คุยแซ่บSHOW

โควิด 2 ปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง
“กลัวมาก เพราะ 2 ปีที่ผ่านมาใช้เงินหมดไปเยอะ ไหนจะไม่สบาย ไหนจะต้องเลี้ยงลูกหมา คือไม่มีเงินเข้ามาเลย ต้องดึงเงินเก็บมาใช้เป็นหลักล้านแล้ว เพราะแต่ละเดือนจะมีค่าใช้จ่าย 4-5 หมื่นเป็นอย่างต่ำ ถามว่ามีขายอะไรไปบ้างไหม ก็มีบ้าง ก็มีไลฟ์ขายเสื้อ กระเป๋า รองเท้า บางทีก็ทำอาหารเองแล้วก็ไลฟ์ขาย มันก็เพลินดี และทำให้มีรายได้บ้าง ตอนไลฟ์ก็มีแม่ มีโย มีน้องขวัญ มี ‘แม่อี๊ด’ ดวงใจ มี ‘ก้อย’ ทาริกา แม่จิ๋ม มยุรฉัตร แก๊งเราเรียกว่าเป็นแก๊งนางพญาหงส์หยก เพราะเจอกระจกไม่ได้ต้องส่อง ต้องโพสท่าตลอด เวลาอยู่ด้วยกัน ก็แย่งกันพูดคุยไม่มีใครยอมใคร เพราะกลุ่มเราสนิทกันมาก”

เห็นว่าก่อนหน้านี้เคยสลบไปนาน 7 วัน
“ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย เหมือนคนตายแล้วเกิดใหม่ คือเราแสวงบุญที่อินเดีย ไปสีสังเว แล้วเราก็ไปเส้นโลหิตแตกที่โน่น เป็นเหตุการณ์ปลายปี 2551 ขณะที่เรานั่งรถไปสีสังเว อากาศมันก็หนาวบ้าง ร้อนบ้าง แล้วต้องตื่นเช้า เวลานั่งรถก็นั่งไกล พระอาจารย์ก็ถามว่ามาครั้งแรกหรือ เราก็ตอบว่าเจ้าค่ะ ท่านก็เลยให้มาพูดถึงความรู้สึก เราก็ออกไป อ้าปากพูดได้คำเดียวว่า ‘เพิ่งมาแสวงบุญครั้งแรกที่สีสังเว’ ตอนที่พูดจู่ๆ ก็รู้สึกปวดหัวมากเหมือนฟ้าผ่า จากนั้นก็เหงื่อแตกเพื่อนๆ ก็มาประคองให้เราไปนั่งเก้าอี้ พอนั่งเก้าอี้เรารู้สึกไม่ไหว วิงเวียนเหมือนธาตุไฟแตก ปวดท้องหนัก ท้องเบา แล้วก็อาเจียน

ซึ่งตอนนั้นเราอยู่ในรถ ยังต้องเดินทางอีกประมาณ  6 ชั่วโมงจะถึงโรงแรม เพื่อนๆ และไกด์ก็โทรหาหมอในกรุงเทพฯ โทรหาหมอในอินเดีย พอถึงโรงแรมหมอที่อินเดียก็มา เราก็นอนที่โซฟา ไม่มีแรง ก็มีคุณดวงตา และคุณทาริกาดูแลเราอยู่ หมอมาถึงมือขวาก็คว้าเข็มฉีดยา อีกมือหนึ่งก็คว้าขวดจากกระเป๋ากางเกง ส่วนสำลีก็อยู่กระเป๋าเสื้อ เราก็ตกใจ ตุ๊ก ดวงตาก็บอกเราว่า ”ฉีดได้เจ๊ อันนี้เป็นยาห้ามอาเจียน” พอฉีดไป รุ่งขึ้นเราก็อาการดีขึ้น เพื่อนก็ไปเขาคิชกูฏกัน ส่วนเราก็อยู่โรงแรมได้วันหนึ่ง วันถัดมาเราก็กลับมาที่กรุงเทพฯ อยู่ที่บ้านได้ 1 วันปรากฏว่ามีเพื่อนโทรชวนให้มาเช็กร่างกายกับคุณหมอ เพราะเห็นที่อินเดียเราอาการไม่ค่อยดี เราก็ตกลงแต่งตัวไปหาคุณหมอที่โรงพยาบาล ที่โรงพยาบาลเขาก็เช็กร่างกาย เราอยู่โรงพยาบาลวันหนึ่งก็แล้ว พอวันที่สองเราก็บอกที่โรงพยาบาลว่าเราอยู่ต่อไม่ได้แล้ว เพราะมีละครรออยู่ ละครจะต้องปิดกล้อง ซึ่งทางโรงพยาบาลก็บอกว่าเราไปไม่ได้ หลังจากนั้นเราก็วูบไปไม่รู้เรื่องอะไรอีกเลย

ตื่นมาอีกทีหนึ่งปรากฏว่านอนอยู่ในห้องไอซียูแล้ว เราก็ตกใจ นอนอยู่ที่โรงพยาบาลประมาณ 1 เดือน อยู่ในไอซียู 2 อาทิตย์ อีก 2 อาทิตย์อยู่ที่โรงพยาบาล คือพอลืมตาขึ้นมาข้างขวาเรากระดิกไม่ได้เลย เราก็ตกใจ ร้องไห้โฮ คือเลือดคั่งในสมอง ทางพยาบาลก็ปลอบใจว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวทำกายภาพก็หาย ตอนที่ทำกายภาพเขาต้องมาทำกายภาพให้เราที่เตียง ต้องทำทุกวันวันละ 3 เวลา เช้า กลางวัน เย็น เพราะตอนนั้นเราลุกไม่ได้”

Advertisement

เพื่อนๆ ว่าอย่างไรบ้าง  
“ตอนที่เราฟื้นมา เพื่อนๆ ก็มาเล่าว่า นึกว่าเธอเป็นผักไปแล้ว นึกว่าจะไม่รอดไปแล้ว คือตอนที่เราวูบก็เหมือนเราหลับ ไม่เห็นอะไร ไม่ได้ไปไหน ตื่นมาก็เห็นพวกเธอ ถามว่าตอนนั้นกลัวไหม ก็ไม่ได้กลัวอะไร เขาเรียกให้ทำกายภาพบำบัดเราก็ทำ และการทำกายภาพบำบัดมันเจ็บปวดทรมาน ยกแขนก็ไม่ขึ้น เขาก็เอาเลเซอร์มาจี้ แล้วก็ต้องหัดหยิบเข็ม และต้องหัดพูดใหม่ เพราะตอนนั้นพูดก็ไม่ได้”

ตอนนั้นได้กำลังใจจากใคร
“เราต้องช่วยตัวเอง เพราะเราไม่มีใคร เราไม่อยากให้ใครมาลำบาก กำลังใจของเราก็คือการที่เราต้องทำให้ได้ ต้องช่วยตัวเองให้ได้ ต้องอยู่ให้ได้ ถ้าเราทำไม่ได้ เราจะอยู่ไม่ได้”


ทำกายภาพนานไหม
“นาน ทุกวันนี้ก็ยังทำอยู่ ต้องหัดเดิน หัดนั่ง ไปหัดขับรถใหม่ ต้องทำใหม่หมดทุกอย่าง ทุกวันนี้ต้องออกกำลังกายด้วยการเดิน แกว่งแขน อยู่นิ่งไม่ได้ ไม่อย่างนั้นร่างกายจะยึดหมด คือก่อนที่เราจะป่วย เราชอบเล่นกีฬาทุกชนิด คุณหมอก็แนะนำมาเราก็เอามาปรับมาใช้บ้าง แรกๆ ก็มีทานยา ตอนนี้ก็ห่างๆ ไปบ้างแล้ว”

 

ตอนที่นอนเป็นผักเคยคิดถอดใจบ้างไหม
“ไม่มีเลย ไม่เคยคิดถอดใจ มีความรู้สึกว่าเราทำมาได้ทุกวันนี้ ถ้าเรามีชีวิตอยู่เราต้องลุกให้ได้ เราไม่เคยท้อ ทุกอย่างอยู่ที่ใจ เกิดอะไรเราต้องไม่ท้อ วันนี้เราลุกไม่ได้ อีกวันหนึ่งเราต้องลุกได้ คนอื่นไม่ใช้เราก็ต้องให้กำลังใจตัวเอง  ตอนที่เราเล็กๆ เราขี้แยมาก เพราะคุณพ่อ คุณแม่เสีย แต่เราต้องสู้เราต้องเป็นที่พึ่งของน้องๆ พี่ๆ เกิดอะไรขึ้นอย่าไปยอม เราต้องสู้”

ย้อนถามเข้าวงการได้อย่างไร
“เดิมเป็นคนพิษณุโลก ตอนอายุ 14 เราก็มาอยู่กรุงเทพฯ ช่วงนั้นคุณพ่อคุณแม่เสียแล้ว หนังสือเราก็ได้เรียนแค่ ม.6 ยังไม่จบดี ก็โดนหลอกมาอยู่กับคุณอาที่ร้านเสริมสวย เราก็หัดทำเล็บหัดสระผม ปรากฏว่าแขกติด แล้วร้านนี้เขามีชื่อเขาทำผมให้ดารา คือคุณเพชรา คุณเพชราก็มาทำผม สระผม แล้วคุณเพชราเขาก็บอกว่าพี่ดา ไอ้ติ๋วนี่หน่วยก้านดีนะ น่าจะส่งประกวด คุณอาก็บอกว่าไม่เอาหรอก ดำก็ดำ และเหมือนม้าดีดกะโหลก คุณเพชราก็บอกว่าเอาเถอะ จับมันไปขัดสีฉวีวรรณมันก็ประกวดได้ สรุปก็ได้ไปประกวด แต่ก่อนเข้าประกวดเงินเราก็ไม่ค่อยมี แต่เราต้องสวย คุณอาก็บอกว่าอย่ากวาดอย่าถู เดี๋ยวตาตุ่มดำ เดี๋ยวข้อศอกดำ และเวลาอยู่หน้ากระจกก็คอยมองอย่าขมวดคิ้ว อย่าเลิกหน้าผากเดี๋ยวหน้าผากย่น

สมัยนั้นไม่ต้องไปสปา คุณอาก็ไปซื้อลิ้นทะเลมาขูด และซื้อนมตราหมีมากระป๋องหนึ่ง เอามาทาตัวเราทั้งตัว แล้วเขาก็พาไปแว๊กซ์ขน พออายุ 17 เราประกวดนางสาวไทย ตอนนั้นประกวดเป็นร้อยเหมือนกัน เราก็ผ่านเข้ารอบ 10 คน พอประกวดเสร็จก็มีแมวมองมาเห็น ได้เป็นนางเอกภาพยนตร์เรื่องแรกในปี 2516 เล่นเรื่อง “เจ็ดดอกจิก” เป็นเรื่องแรก เล่นคู่กับคุณกรุง ศรีวิไล และไพโรจน์ ใจสิงห์ เป็นนางเอกบู๊ แต่เราเล่นบู๊ท่าจะไม่รอดเพราะแขนขาไม่มีแรง

แต่ภาพคนจำเป็นนางร้าย
“หลังจากเล่นหนังไป 2-3  ปี ก็ได้เล่นละคร พอมาเล่นละคร เรื่องแรกก็เป็นนางอิจฉา  ถามว่าตัดสินใจนานไหม ไม่นาน เพราะเราต้องเล่นได้ทุกอย่าง เล่นตัวดีไม่ได้ ก็เล่นเป็นตัวร้าย สมัยก่อนเล่นละครจะดุและร้ายมาก ไปตลาดแม่ค้าไม่ขายของให้เลยนะ เดินไปไหนก็มีแต่คนไม่ชอบหน้า อย่าว่าแต่แม่ค้า ผู้ชายยังไม่ชอบหน้าเราเลย”

เล่นร้ายจนผู้ชายกระเจิง
“เรียกว่าเขาอินในละคร คือเราร้ายในบท ตัวจริงเราไม่ร้ายนะ เรื่องของเรื่องคือเรามีเดตไปกินข้าว แล้วผู้ชายคนนี้เราก็ชอบด้วย เพราะเขาอยู่ในเครื่องแบบ เราชอบผู้ชายในเครื่องแบบ คือเขาก็ดูละคร ระหว่างทานข้าว เขาก็พูดว่า คุณดุมากเลยนะ แทงผัวตาย แล้วอย่างนี้ใครจะเป็นแฟนคุณได้ เราก็งง ก็บอกเขาว่า “อันนั้นในละคร อย่าอินขนาดนั้น”

มีหนุ่มมาจีบเยอะไหม
“สมัยก่อนมีหนุ่มเยอะ มีไฮโซพาไปทานข้าวที่ดุสิตธานี คือสมัยก่อนดุสิตธานีเปรี้ยวสุดละ เราก็ไปดินเนอร์ แล้วเราก็พาเพื่อนไป เพื่อนก็แนะให้จิ้มเมนูที่แพงที่สุด พอทานอาหารเสร็จ ก็ย้ายไปนั่งที่เทียร่า เราก็ต้องสั่งดริงก์ เราก็จิ้มอันที่แพงที่สุด ระหว่างที่จะดื่ม คือเราก็ดื่มไม่เก่ง แต่เพื่อนดื่มเก่ง ปรากฏว่าเพื่อนไม่ได้ดื่ม แต่เพื่อนเทเหล้าทิ้งที่กระถางต้นไม้ด้านหลัง แต่เราไม่รู้เราดื่มจริงเราก็เลยเมา เพื่อนก็เลยพาเราไปห้องน้ำสอนให้ล้วงคอ คือผู้ชายเขาก็ไม่รู้ หลังจากดื่มได้สักพักเขาก็คิดว่าเราคงเมาได้ที่ เราก็เลยเตรียมตัวกลับบ้าน ผู้ชายก็ชวนไปดื่มกาแฟต่อที่บ้านเขา แต่เราก็ปฏิเสธไป คือไปทานข้าวทีนึงหมดไป 3-4 หมื่น เราก็คิดว่าเขาคงจะเข็ด ปรากฏว่าเขาก็ไม่เข็ดนะ เขาก็นัดเราอีก เราก็ทำเหมือนเดิม และทุกครั้งเราจะเอารถไปเอง ไม่เคยไปรถคนอื่น คือกลัวเขาไม่ส่งเดี๋ยวเรากลับบ้านไม่ได้ ถ้าเขาขับรถไปบ้านเขาแล้วเราจะทำอย่างไร”

เพราะแบบนี้เลยครองตัวเป็นโสดมาตลอด
“ไม่ได้ครองโสด ก็มีบ้าง แต่ทุกวันนี้ไม่มีใคร ก็ต้องอยู่คนเดียว อยู่กับแก๊งเพื่อน ถามว่าเคยมีเผลอใจรักใครบ้างไหม ก็มีบ้าง เพราะบางทีเราก็ไปชอบคนที่มีเจ้าของ คนที่ยังไม่มีเจ้าของเราก็ดันไม่ชอบ แต่เราก็ทำใจได้ เพราะเป็นของๆ เขา เราก็ทำใจได้”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image