ดีเจมะตูม เตชินท์ พลอยเพชร มาเป็นแขกรับเชิญในรายการ แจ็คขอคุย : ‘ดีเจมะตูม’ หิวแสง! เปิดทุกประเด็นร้อน น้อมรับทุกกระแสวิจารณ์ ที่แจ็ค แฟนฉัน – เฉลิมพล ทิฆัมพรธีรวงศ์ จัดทำเพื่อแพร่ภาพทางแชแนลยูทูป Jackfanchan โดยมะตูมบอกว่าช่วงที่ผ่านมาเขาได้ทบทวนตัวเอง และก็ตระหนักในหลายอย่าง โดยเมื่อแจ็คถามว่าที่ผ่านมามะตูมมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร พลาดตรงไหน ซึ่งมะตูมบอกเลย “จริงๆพลาดเยอะนะ พลาดเยอะมาก”
จากนั้นเล่าว่า ความที่เติบโตมาในครอบครัวที่ทุกคนเก่งหมด พ่อเป็นนักร้อง พี่ก็ร้องเพลงเพราะ น้องเป็นนางแบบ ก็คิดอยากจะใช้ความสามารถของตัวเองเพื่อหาเงินให้ได้มากๆ ซึ่งวงการบันเทิงตอบโจทย์นี้ได้
“เราก็ใช้คำว่าหิวแสง กระหายในการที่จะเข้ามาเป็นซัมวันในที่นี้มากๆ”
เรื่องที่ถูกมองว่าเป็นคนน่าหมั่นไส้ มะตูมก็ว่า ทั้งหมดเป็นความผิดพลาดจากตัวเอง ไม่เคยโทษคนอื่น
“วงการบันเทิงเราเข้ามาแบบไว คนอื่นเขาใช้เวลาหลายปี แต่มะตูมแค่ข้ามคืน แค่อัดคลิปด่าในโซเชียล แล้ววันรุ่งขึ้นมะตูมได้เล่นละครแล้ว พออะไรที่ไวมากๆอย่างนี้ เรายิ่งทำ ยิ่งสะใจ ไปไหนก็มีแต่คนพูดถึง เราเป็นที่ต้องการของคน ณ เวลานั้นก็เลยไม่ได้คิดอะไร ทำตัวเองก็ได้ให้คนพูดถึง มันก็เลยกลายเป็นความน่าหมั่นไส้”
มะตูมยังยอมด้วยว่า เวลาพูดคุยหรือทักทายคนอื่น แม้จะไม่ได้ตั้งใจ แต่หลายครั้งสิ่งที่พูดออกไปกลายเป็นเหมือนดูถูก เหยียด หรือบูลลี่คนอื่น
แล้วทำไมต้องไปดูถูกเขา-แจ็คถาม
“นั่นสิ” มะตูมตอบ
“ถามตัวเองเหมือนกัน ทำไมไปดูถูกคน ทั้งๆที่เราก็ไม่ได้ดีนะ เจตนาก็ไม่ได้ต้องการไปด้อยค่า หรือดูถูกใคร สมมุติเจอแจ็ค ตามผลงานแจ็คมาตั้งแต่ตูมยังไม่เข้าวงการ พอวันนึงได้กินข้าว ก็พูดยังไงดี ให้แจ็คจำเราได้ มันก็กลายเป็นถ้าชอบคือชอบเลย ตลกว่ะ เล่นได้ กับอันที่สองคือ ปากหมา ไม่เอา”
ครั้นแจ็คถามว่าเหตุการณ์อย่างนั้น พอมาเจอกับตัวเอง รู้สึกว่าคำไหนที่คนพูดถึงแล้วเจ็บสุด ซึ่งมะตูมบอกเลย “พ่อแม่ไม่สั่งสอนเหรอ เลี้ยงลูกยังไงให้เป็นแบบนี้ คำพวกนี้จะเจ็บมาก”
มะตูมบอกอีกว่า ก่อนหน้านั้นเวลาเจอคนด่า เขาจะด่ากลับ แต่ตอนนี้ไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้ว
“จริงๆเพราะการกระทำของเราต่างหาก เขาเลยคิดแบบนั้น ต้นเหตุคือเรา ที่วางตัวแบบนี้ เลยกลายเป็นว่า เดี๋ยวนี้ใครเขียนอะไรด่ามา ถ้ามันหนักเกินไปก็แค่ลบ เขาเสียเวลาแค่ 2 นาทีเองในการพิมพ์ด่า เราจะเก็บ 2 นาทีของเขามาเป็นชั่วชีวิตเราไม่ได้นะ”
ส่วนเมื่อแจ็คถามเรื่องคำวิจารณ์วัวลืมตีน ว่าสาเหตุหนึ่งเป็นเพราะการที่มีเงินเยอะมากขึ้นใช่ไหม เรื่องนี้มะตูมยอมรับว่าที่ผ่านมาเขาถือว่าประสบความสำเร็จ เพราะเวลาแค่ 5-6 ปีในวงการ สามารถมีเงินเก็บ มีธุรกิจ
“วันที่เรามีเงินเยอะมากๆ ณ วันนั้นเราลืมไปหมดเลยว่าเราเป็นใคร มาจากไหน ตูมไม่รู้คนอื่นเป็นหรือเปล่า แต่ตูมเป็น”
“มีคนเตือนเยอะมาก ระวังนะวงการบันเทิง จะหลงแสง จะหลงชื่อเสียง เวลาตูมได้ยินแบบนี้ ตลก จะมาหลงได้ยังไง เราต้องรู้สิ ว่าเราเป็นใคร มาจากไหน แต่เอาเข้าจริง วันที่เราเป็นที่ต้องการ วันที่คนล้อมรอบเราไปหมด เรามองไม่ออก เราแยกไม่ทัน”
การไปคบกลุ่มคนรวย พวกไฮโซ มีส่วนไหม? กับคำถามนี้มะตูมยอมรับว่า “ใช่ครับ ตูมมองว่ามีส่วนมาก”
เขาบอกด้วยว่าความจริงการไปใกล้ชิดกับกลุ่มซุปเปอร์สตาร์ นางเอกระดับแถวหน้า และเหล่าไฮโซ เขาก็ปฏิบัติตัวเหมือนตอนอยู่กับเพื่อนกลุ่มอื่นๆ แต่ในจุดๆนั้นมีจะคนจับตามองมากกว่า มองว่ามะตูมเป็นใคร ทำไมไปอยู่กับพวกนี้ได้ ลืมตัวเหมือนวัวลืมตีนทิ้งเพื่อนเก่าๆ ทั้งที่ความจริงตนยังคบเพื่อนเก่าเหมือนเดิม
ในส่วนเรื่องการใช้จ่ายเงิน มะตูมยอมรับว่า เคยมีพฤติกรรมที่ใช้เงินวันละเกิน 1 ล้านบาท
“วันที่มีเงิน ตูมเข้าไปช็อปแบรนด์ดัง ช็อปยุโรป ไปลองรองเท้าแค่คู่เดียวแล้วบอกเอาเบอร์นี้ทั้งชั้น กลบปมด้อยตัวเองน่ะ ซื้อปมด้อยตัวเอง”
ปมด้อยที่ไม่ได้เกิดจากการโดนใครดูถูก แต่คิดไปเอง
“คิดว่าเราเป็นดีเจต๊อกต๋อยมา ไม่ได้ใส่ของแบรนด์เนม คนจะมองไม่ดีแน่ๆ เราคิดแทนเขา จริงๆวงการบันเทิงเขาไม่ได้วัดที่มูลค่าสิ่งของนะ เขาวัดกันที่ความดี เราแยกแยะไม่ออก คิดว่าอยู่กับกลุ่มไฮโซ เป็นดาราต้องแบรนด์เนมตั้งแต่หัวจรดเท้า คิดไปเองทั้งหมด”
ส่วนเรื่องที่ว่ากันว่าเคยใช้เงินครึ่งล้านซื้อผู้ชายตอนไปเที่ยว มะตูมบอก “เมื่อก่อนตูมสามารถเอาเงินครึ่งล้านให้ผู้ชายได้ โดยไม่ต้องคิดเลยว่าจะลำบากหรือเปล่าในอนาคต”
ในรายการมะตูมยังเล่าในอีกหลายเรื่องทั้งความรัก ที่เคยเลิกกับแฟนจากสาเหตุเรื่องลูก , ความคิดที่เปลี่ยนไป , รวมถึงเรื่อง “วันที่เรามีทุกอย่าง วันที่เราอยู่ในจุดที่สูงมากๆ ทุกคนรอบตัวเราจะเห็นสันดานเรา แต่วันหนึ่งที่เราตกลงมา เราจะเห็นสันดานคน”
ชมคลิปเต็มๆ เพื่อฟังเรื่องราวทัังหมดโดยคลิก ที่นี่
