น้อง พรสุดา เล่าเหตุหย่าสามีนักการทูต บอกเป็นนางเอกไม่สวยแต่ขายความสามารถ

น้อง พรสุดา เล่าเหตุหย่าสามีนักการทูต บอกเป็นนางเอกไม่สวยแต่ขายความสามารถ

นางเอกยุค 90 น้อง พรสุดา ต่ายเนาว์คง เป็นแขกรับเชิญในรายการ คุยแซ่บSHOW ทางช่องวัน 31 มาร่วมพูดคุยเปิดใจหลังเลิกกับสามีนักการทูตชาวบรูไนมานาน 5 ปี โดยเธอย้อนเล่าเมื่อครั้งตัดสินใจแต่งงานที่ทุกคนให้ความสนใจ เพราะสมัยนั้นไม่มีนักแสดงคนไหนแต่งงานกับนักการฑูต

“เราน่าจะเป็นคนแรก เขาก็เลยรู้สึกว่าแปลก ว่าเราเจอกันได้อย่างไร คืออาจจะไม่ได้ดังมาก แต่ทุกคนจะให้ความสนใจว่า เราเป็นนักแสดงซึ่งอยุ่กับกองถ่าย ทำไมไปเจอกับนักการฑูตที่ไม่น่าจะมาเจอกันได้”

ซึ่งเหตุผลที่เธอตัดสินใจแต่งงานเป็นเพราะว่าต้องเลือกระหว่างหน้าที่การงานและครอบครัว

“เพราะตอนนั้นเขากำลังจะย้ายกลับประเทศ เขาก็ให้เราตัดสินใจ คือถ้าเราไม่แต่งเขาก็กลับประเทศเขาไป แล้วเราก็ทำงานของเราไป แต่ถ้าแต่งเราต้องเลือก”

Advertisement

แต่ ณ ตอนนี้เธอก็ได้เลิกลากับสามี หย่าเงียบๆมานาน 5 ปีแล้ว ซึ่งเหตุผลที่ตัดสินใจก้าวออกมาเธอเล่าว่า

“เหมือนผู้ใหญ่คุยกันว่าเราอยู่ร่วมกันไม่ได้แล้ว มันมีเหตุผลหลายอย่าง เขาก็เข้าใจถึงสถานการณ์ของเรา เราก็บอกเขาว่าเราคงไม่สามารถเป็นภรรยาที่สมบูรณ์แบบที่จะดูแลเขาตลอดไปไม่ได้ เพราะเราต้องการกลับมาทำงานเหมือนเดิม ซึ่งเขาก็บอกเราว่าก็ได้ ตอนนั้นเขาก็ไม่ได้อยากจะเลิกกับเรา

Advertisement

แต่เขาขอกับเราว่าเขาขอแต่งงานกับภรรยาอีกคนได้ไหม คือตามหลักศาสนา สามีสามารถแต่งภรรยาได้ 4 คน แต่มีข้อแม้ว่าภรรยาแรกต้องอนุญาติ คือมันจะมีกรณีที่ภรรยาป่วยดูแลสามีไม่ได้ สามีอยากมีลูกก็จะขอภรรยา ถ้าภรรยาอนุญาติเขาก็จะไม่บาป แต่บางครอบครัวก็แต่งเลย ก็แล้วแต่ พอเขามาคุยกับเรา เราก็เลยขอเลิกดีกว่า เพราะเราก็ไม่ชอบแชร์ของกับใคร

เราตั้งใจว่าถ้ามาอยู่เมืองไทยเราก็เริ่มทำงานละครให้เต็มที่ ประกอบกับคุณแม่ไม่สบาย แล้วที่ผ่านมาเราก็ไม่ค่อยได้ดูแลท่าน ก็เลยบอกเขาว่าเราอยากอยู่ที่ไทยถาวร แล้วเราก็ขอให้เขาประกาศหย่าให้เราหน่อย เพราะเราคงไม่กลับไปแล้ว คือตามหลักศาสนา ถ้าสามีประกาศหย่าก็หมายความว่าสามีไม่ต้องการภรรยาคนนี้แล้ว ซึ่งกระดาษใบนั้น สามีสามารถไปเดินเรื่องเองได้”

หน้าที่ของภรรยาฑูตเธอบอกว่า อย่างวันชาติตามประเทศต่างๆ จะมีจัดงานซึ่งราชฑูตก็จะต้องไปร่วมงานเพื่อเป็นเกียรติ ถ้าไปเดินเฉยแล้วไม่มีภรรยาตามก็จะกลายเป็นข้อครหาว่า ทำไมภรรยาไม่ซัพพอร์ตสามี

“สามีก็เลยบอกว่าคุณต้องหยุดเพื่อที่จะต้องเป็นตัวแทนของประเทศบรูไน ในฐานะภรรยานักการฑูตซี่งเราต้องทำเต็มร้อย ตอนนั้นก็เลยตัดสินใจหยุดเลย 8 ปี ตอนแรกอยู่ที่ กูชิง ประเทศมาเลเซีย ตอนนั้นเราไปเป็นกงสุลใหญ่อยู่ที่นั่น หลังจากนั้นก็กลับไปบรูไนก่อนจะไปประจำที่กัวลาลัมเปอร์ เมื่องหลวงของมาเลเซีย เพราะอดีตสามีเขาจะรู้จักกับผู้บริหาร เพราะฉะนั้น การที่มาอยู่กัวลาลัมเปอร์ก็จะสะดวก”

และแล้วคุณพ่อของเธอก็มาเสียในช่วงที่แต่งงานใหม่ๆ

“ตอนนั้นก็เกษียณมาอยู่ที่บรูไน แล้วคุณพ่อป่วยเป็นมะเร็งที่หลอดลม ซึ่งทานอาหารอะไรไม่ได้เลย คุณแม่ก็เริ่มป่วย เราก็กลับมาเยี่ยมท่าน ท่านก็บอกเราว่าไม่เป็นไร กลับไปอยุ่กับครอบครัวเถอะ อันนี้เป็นคำพูดสุดท้ายของท่าน หลังจากนั้น ไม่ถึง 2 อาทิตย์คุณพ่อก็เสียเราก็เลยรู้สึกว่าเราทำหน้าที่ลูกได้ไม่สมบูรณ์”

เธอยังบอกอีกว่า “ตอนนั้นไม่มีไฟว์ไม่มีอะไรเลย เราก็ได้ตั๋วในวันรุ่งขึ้น สามีก็บอกเราว่าคุณไปเถอะ สามีไม่ได้ไปด้วย ซึ่งเราไม่คิดอะไร เราแค่อยากเห็นท่านก่อนจะฝัง หลังจากนั้นเราก็รู้สึกว่าทำไมเราอยู่คนเดียว จริงๆ ในงานคุณพ่อก็มีของครัวของเรา แต่ครอบครัวของเขาไม่มีเลย คือมันอาจะเป็นเพราะว่าเรามีข้อตกลงกันตั้งแต่แรกแล้วว่า เราจะกลับมาเอง จะมาทำงาน มาเยี่ยมครอบครัว นานๆ มากเขาถึงจะมาสักที และหลังจากนั้น เลยมีความรู้สึกว่าไม่อินกับชีวิตครอบครัวแล้ว”

อยู่วงการมากว่า 40 ปี แต่เรียกตัวเองว่าเป็นนางเอกขี้เหร่ เพราะรู้ตัวว่าไม่ได้เป็นคนสวยเด่นอะไร มีโอกาสเข้ามาทำงานในวงการเพราะมีโมเดลลิ่งมาทาบทาม  ซึ่งงานที่ได้ก็ไม่เคยเป็นตัวหลัก

“เรารู้สึกว่าโชคดี เพราะดาราแต่ละยุคนั้นจะไม่เหมือนกัน อย่างยุคของเราก็จะไม่เน้นว่าต้องสวย หุ่นดี หรือต้องครบเครื่อง นางเอกก็จะออกแนวน่ารักๆ นางเอกที่ดังๆ ในยุคนั้นคือ นิด อรพรรณ ที่บอกว่าเราต้องขายความสามารถเพราะว่า มีครั้งนึงไปถ่ายโฆษณาลูกอมบนรถไฟ คือตัวหลักของเรื่องถ่ายไม่ผ่านสักที คือพอแอคติ้งได้บทพูดไม่ได้ พอพูดได้ แอคติ้งไม่ได้ จนผู้กำกับต้องถามว่าใครเล่นได้ เราก็ยกมือว่าเล่นได้ ณ ตอนนั้นทำให้เรารู้ว่าเราไม่สวย ถ้าจะให้ได้งานเราต้องขายความสามารถ”

สามารถรับชมเนื้อหาทั้งหทดได้ที่คลิปด้านล่าง

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image