ขึ้นแท่นเป็นครอบครัวคนบันเทิงเต็มขั้นซะแล้วสำหรับ ‘บ้านทวีสิน’ เพราะนอกจากพี่สาว ใบเตย – สุธีวัน แห่ง อาร์สยาม จะฮอตฮิตติดลมบน ล่าสุด ลุกซ์ – ชาญวิทย์ น้องชายคนสวยวัย 24 ก็ตามรอยเข้าวงการอีกคน ซึ่งลุกซ์เผยกับ ‘มติชนออนไลน์’ ว่า ได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง ‘เลิฟเซเฮ อยากเซย์ว่ารักเธอ’ ของค่ายมั่งมี โปรดักชั่นส์ ที่เตรียมจะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ 3 มีนาคมนี้ โดยรับบทเป็น ‘ลูกอม’ เพื่อนสนิทเพศที่สามของนางเอกที่คอยช่วยสร้างสีสันให้กับเรื่อง
“เราเล่นเป็นตุ๊ดเด็กคอยสร้างสีสันในเรื่อง นิสัยมีความร่าเริง สดใสปกติ แอบชอบเพื่อนหลายคน เป็นตุ๊ดชอบมโน นี่เป็นผลงานการแสดงเรื่องแรกที่ได้เล่นเพราะบังเอิญมาก เราไปงานวันเกิดของพี่ที่เป็นโปรดิวเซอร์ซึ่งไม่รู้จักเขาเลย ไปเป็นเพื่อนของเพื่อน แล้วเห็นว่างานไม่มีพิธีกรก็ดูกร่อยๆ เลยเดินไปบอกว่าเป็นให้ไหม เขาประทับใจมากเพราะงานสนุก แล้วเขามีโปรเจ็กต์จะทำหนังเรื่องนี้อยู่แล้ว เลยเพิ่มบทนี้ให้เราเล่น” ลุกซ์บอก
พร้อมกับย้ำว่างานนี้ไม่ได้มีเจ๊ดันชื่อใบเตยแน่นอน “โน ไม่มีเลย เพราะว่าเขาไม่รู้ว่าหนูเป็นน้องพี่เตย พอรู้ทีหลังก็ยิ่งดีใจ ซึ่งเอาจริงๆ ตอนถ่ายไม่มีความรู้สึกตื่นเต้นเลยนะ เพราะตอนเรียนมหาลัยก็ทำอะไรอย่างงี้อยู่แล้ว ถ่ายหนัง ละคร แต่พอใกล้ออน วันแรกเห็นโปสเตอร์ตื่นเต้นมาก ไม่คิดว่าชีวิตเราจะมีโปสเตอร์หนัง พี่เตยยังไม่มีเลยนะ เราก็ไปเกทับว่าชั้นมีโปสเตอร์หนังแล้วนะ (หัวเราะ)”
อย่างไรก็ตามนอกจากงานภาพยนตร์ ลุกซ์ยังเข้าร่วมประกวดในรายการเดอะสตาร์ ค้นฟ้าคว้าดาว ปี 12 เพราะยอมรับว่าความฝันของตัวเองตอนนี้อยู่ที่วงการบันเทิง โดยถ้าชอบร้องเพลงก็ต้องประกวดเวทีนี้เท่านั้น ขณะเดียวกันเป็นเพราะเห็นว่าทางจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เปิดโอกาสให้เพศที่สามค่อนข้างมาก
“ก่อนหน้านี้เป็นดีเจที่ 88.5 สบายดี เรดิโอ มา 3-4 ปี ก็ไม่ได้ดังและเขาก็ปิดตัวไปเพราะมีเรื่องสัมปทานคลื่น แล้วเห็นพี่เราทำงานกับอาร์เอส อาร์สยามจะเห็นงานแบบที่อาจไม่เหมาะกับเรา แล้วถ้าประกวดเวทีร้องเพลงก็ต้องเดอะสตาร์แหละ อีกอย่างเรามีความรู้สึกว่าแกรมมี่เปิดรับเพศที่ 3 มากกว่า มีพี่บุ๊คโกะ (ธนัชพันธ์ บูรณาชีวาวิไล) มีคนอื่นๆ ด้วย แต่คืออาร์เอสดีกับเรามาก ให้อาชีพเรามา ซึ่งเราก็เคยออดิชั่นให้อาร์เอสแต่เขาไม่ได้เลือก เขาพูดตรงๆ ว่ายังไม่มีเป้าหมาย ว่าไม่แน่ใจจะทำโปรเจ็กต์เพศแบบเราได้ แต่ก็จากกันด้วยดี” ลุกซ์กล่าว
พร้อมบอกด้วยว่า การตัดสินใจครั้งนี้ใบเตยไม่ได้คัดค้าน เพราะเชื่อมั่นในกันและกัน หากใครเลือกอะไรแล้วมีความสุขก็ทำอย่างนั้น ซึ่งถ้าไม่ได้เวทีเดอะสตาร์ก็จะหาอีกสักเวทีประกวด แต่ถ้าไม่ประสบความสำเร็จอีกก็จะกลับไปทำธุรกิจเหมือนเดิม
“ถ้าเราอยู่กับอาร์เอสก็คงถูกมองเป็นน้องใบเตย เป็นเด็กเส้นปกติ อันนี้มาตามหาฝันตัวเอง ไม่ได้ใช้เส้นอะไร มันอาจเป็นโอกาสที่คนรู้จักเราบ้างว่าเป็นน้องใบเตย แต่ก็ต้องไปนั่งต่อคิว ซึ่งมันเป็นอะไรที่เราไม่คิดเลยว่าอยู่ดีๆ จะมาทำ เป็นช่วงเปลี่ยนความคิด แว๊บเดียว พอกับอาร์เอสจบแล้ว ไม่ได้เป็นดีเจแล้ว สูญเสียงานในวงการไปก็รู้สึกชีวิตว่าง ไม่มีสีสัน ไม่มีอะไรให้ตื่นเต้น เลยออกมาจากกรอบ จากที่ที่เคยอยู่ ลองดูว่าจะเป็นยังไง” ลุกซ์กล่าวในที่สุด