เจษ เจษฎ์พิพัฒ กับความสำเร็จที่มาช้า แต่ว่าเหมาะสม

 

กว่าจะได้ขึ้นมาเป็นพระเอกเบอร์ต้นๆ ของช่องวัน 31 เจษ เจษฎ์พิพัฒ ติละพรพัฒน์ ก็ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมาไม่น้อย จากวันแรกจนถึงวันนี้ผ่านระยะเวลามาถึง 10 ปี ที่เจ้าตัวบอก “ผมว่ามันก็นาน”

“บางคนที่เร็วกว่า ใช้เวลาน้อยกว่าเราก็มี”

อย่างไรก็ดี เรื่องเหล่านี้พระเอกคนดังบอกเลยว่า ยอมรับได้ เพราะเข้าใจถึงการทำงานในวงการบันเทิง ที่ไม่ได้อาศัยแค่ความสามารถ แต่ยังรวมไปถึง ‘โอกาส’ และ ‘ดวง’ ซึ่งเมื่อทุกอย่างประจวบเหมาะ และก้าวมา
จนถึง ณ จุดปัจจุบัน “ก็ภูมิใจนะ” เจษเผยความรู้สึก

Advertisement

“เพราะว่าเราก็พิสูจน์ และได้สิ่งนี้มาด้วยพัฒนาการของเรา และงานที่มันดีขึ้นเรื่อยๆ เติบโตขึ้นในฐานะของนักแสดง ฝีมือ ประสบการณ์ แล้วก็วุฒิภาวะ”

ซึ่งถ้านึกในอีกด้านก็อาจเป็นได้ว่า ถ้าเวลาแห่งความสำเร็จมาเร็วกว่าที่เป็นอยู่ “ถ้ามันเร็วกว่านี้ ผมอาจจะยืนระยะมันไม่ได้ก็ได้” เจษบอก

ก่อนอธิบายเพื่อความเข้าใจเพิ่มว่า ตัวเขาเองไม่ได้เริ่มต้นจากความเป็น ‘คนเก่ง’ ดังนั้น หากโอกาสมาในวันที่ความสามารถยังไม่เพียงพอ เขาก็อาจจะใช้โอกาสนั้นได้อย่างไม่เหมาะ ไม่ดี “แล้วก็ไม่ได้โอกาสนั้นอีกเลยก็ได้ครับ”

Advertisement


มองย้อนกลับไปวันแรกๆ ที่เข้าวงการ เจษบอกว่า เขาก็มีเป้าหมายที่ตั้งไว้ อย่างไรก็ตาม ไม่ได้กดดันตัวเองว่าจะต้องไปให้ถึงเมื่อไหร่ ที่คิดก็เพียงแค่ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด

เพราะ “ผมเชื่อว่าถ้างานปัจจุบันมันดีมากๆ ก็จะส่งผลต่ออนาคตเอง”

ด้วยเหตุนี้ ตั้งแต่แรกเริ่มจึงตั้งใจกับทุกงานที่ได้รับ “โฟกัสกับมันมากๆ และไม่ได้มองไปไกลว่าจะมาเป็นพระเอกขนาดนี้” บอกพลางยิ้ม

เจษซึ่งเริ่มต้นจากการเล่นหนังของ พชร์ อานนท์ ก่อนจะมาต่อยอดที่เอ็กแซ็กท์ และมีผลงานละครเรื่อง ‘เรือนเสน่หา’ บอกว่า เขายังจำได้ดีว่า แม้จะฝึกฝนตนเองด้วยการเรียนการแสดงมาเกือบปี แต่เอาเข้าจริงตอนนั้นก็คิดว่ายังทำได้ไม่ดีเท่าไหร่

เจษซึ่งมีพื้นฐานดี มีความสามารถหลากหลาย ทั้งด้านการเรียน ดนตรี กีฬา และสามารถทำสิ่งต่างๆ เหล่านั้นได้แบบ ‘ไม่ลำบาก’ บอกว่า พอมาเจองานแสดงที่ต้องใช้ ‘ความรู้สึก’ ไม่ใช่ ‘การฝึกฝน’ อย่างเคย เลยรู้สึกทั้งอึดอัด ทั้งกดดัน

“พอมาเจอสิ่งที่ทำยังไงก็ทำไม่ได้สักที ไม่ดีสักที ก็รู้สึกไม่โอเคกับตัวเอง แล้วก็ไม่เข้าใจกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ เลยมีความรู้สึกกดดันเยอะมาก”

“ผมไม่เข้าใจว่าตัวละครรู้สึกอะไร การสวมบทบาทเป็นคนอื่นในอารมณ์ที่ตัวผมเองไม่เคยรู้สึก ก็จะนึกไม่ออกว่ามันคือความรู้สึกอะไร เราได้แต่แสร้งทำว่าเรารู้สึก มันเลยยากในช่วงแรกๆ”

ถามว่าปรับตัวนานไหม?
เจษยิ้มเบาๆ กับคำถามนี้ ก่อนบอกว่า เอาเข้าจริง ถึงวันนี้เขาก็ยังต้องปรับตัว เพราะเหล่านี้เป็นเรื่องของการพัฒนาตัวเอง พัฒนางาน

“ตอนแรกต้องปรับเยอะมากๆ ถึงมุมมอง ทัศนคติต่อชีวิตประจำวัน”

จากคนที่มักใช้เหตุและผลกับทุกๆ สิ่ง คนที่มีหลักการเยอะ และยึดมั่นกับสิ่งเหล่านั้นโดยไม่ค่อยสนใจในเรื่อง ‘ความรู้สึก’ ของทั้งตัวเองและคนรอบข้าง ก็ค่อยๆ เริ่มปรับและเริ่มเปลี่ยน

“พยายามสนใจว่าเขารู้สึกยังไง สนใจตรวจสอบความรู้สึกตัวเองว่าตัวเองรู้สึกยังไง รู้สึกกับอะไรรอบๆ ตัวเยอะขึ้น”

ซึ่ง “มันช่วยได้ครับ ช่วยให้เราสังเกตคน และเราก็จะมีเซตของความรู้สึกหลายๆ แบบ ที่มันไม่ใช่ความรู้สึกของเราอย่างเดียวเข้ามาเป็นเมมโมรีในตัวเรา” เพื่อให้พร้อมเลือกใช้ให้เหมาะกับแต่ละงาน แต่ละตัวบทบาทของตัวละคร

กว่าจะมาถึงวันนี้ที่ทุกคนยอมรับ แม้จะเจอความผิดหวัง และสารพันอุปสรรค หากเจษบอกว่าเขาไม่เคยท้อ แต่ ‘พร้อมสู้’ เนื่องเพราะ “ผมมีครอบครัวที่คอยให้กำลังใจ ไม่ได้กดดันว่าเราจะต้องได้เมื่อไหร่ ต้องเป็นพระเอกเลยตอนนั้น เขาก็เข้าใจ แล้วก็ซัพพอร์ตงานผม ดูงานผมทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นพระเอก เป็นตัวร้าย หรืออะไรก็ตาม”

“เราเลยรู้สึกว่าเขายังภูมิใจในตัวเรา ในทุกๆ ตำแหน่งที่เราได้ เลยไม่รู้สึกท้ออะไร”

“เวลาเหนื่อยกลับไป เห็นเขานั่งดูละครเรา ก็หายเหนื่อยแล้ว”

เจษกับวิว เรื่องความรัก เจษออกตัวไว้ล่วงหน้าว่าเขาเป็นคน ‘ไม่มีโปร’ ในเรื่องนี้

กับ วิว วรรณรท สนธิไชย ที่คบหากันมาได้ 3 ปี จึงเป็นไปในลักษณะเสมอต้นเสมอปลาย

“คู่เราไม่ได้หวานแต่แรกอยู่แล้ว ไม่มีโปรแรง แต่เป็นแพคเกจระยะยาว” บอกแล้วเขาก็ยิ้ม

สำหรับความสัมพันธ์ ณ ตอนนี้ เจษบอกว่าเขากับเธอมีความเข้าใจกันมากขึ้น ปรับตัวเข้าหากันมากขึ้นในหลายๆ เรื่อง ความคิดเห็นที่เคยแตกต่างกันนัก ก็จะ “มาเจอกันตรงกลาง”

อย่างไรก็ตาม ในบรรดาความคิดเห็นที่แตกต่างนั้น สิ่งหนึ่งซึ่งเขายอมรับตรงๆ ว่า ยังเจอกันตรงกลางไม่ได้ คือเรื่องของความหวาน ความมุ้งมิ้ง

ภาพจาก @villwannarot

“อย่างวันพิเศษก็มีความพิเศษแหละ แต่คงไม่ได้เซอร์ไพรส์แบบใหญ่โต อลังการ”

“วิวเขาจะเป็นคนให้ความสำคัญกับวันพิเศษต่างๆ อย่างวันครบรอบผมก็จำได้ว่าวันไหน แต่จะบอกเขาว่าทุกเดือนคงไม่ไหว”

ที่ตัดสินใจบอกตรงๆ แบบนั้น เจษบอกว่าเหตุผลหลักคือไม่อยากให้วิวเข้าใจผิด คิดว่าเขาไม่ใส่ใจ
“แต่ถ้าต้องมาทำให้กันทุกเดือนมันจะกลายเป็นความเคยชิน แล้วบางครั้งถ้าไม่ว่างหรืออะไร มันจะกลายเป็นความไม่เข้าใจกัน”

“การดูแลกันคู่เราจะเรียลๆ เลย ผมอยากทำอาหารให้ทาน ก็ทำ หรือตอนผมผ่าเข่า เขาก็มากายภาพบำบัดเป็นเพื่อน มาดูแลที่บ้าน เขามาทำด้วยความเต็มใจ เราก็ทำกันเป็นปกติ”

การไม่มีภาพหวานๆ ปล่อยออกมาตามสื่อ จนบางครั้งมีคนสงสัยในความสัมพันธ์ สำหรับเขาจึงเป็นเรื่่องที่ไม่ต้องนำมาคิดให้เสียเวลา

“ไม่ได้รู้สึกว่ากดดันกับกระแสสังคมที่เขามองคู่เราว่าเป็นยังไง คู่เราเรียบง่าย ไม่ได้หวือหวา อยู่แบบสบายๆ ดีกว่า แต่ก็เคยโดนทักนะ ว่าไม่ลงรูปคู่ เลิกกันหรือเปล่า”

วิวเองก็เคยเจอคำทักดังกล่าว-เจษเล่า

“แต่ในความคิดผม ผมรู้สึกว่าเราต้องลงรูปคู่เพื่อให้คนรู้ว่าเราไม่เลิกกันเหรอ”

“คือคู่เราใช้ชีวิตกันปกติเลย ไม่ได้มองว่าเราเป็นคู่รักดารา”

เป็นแค่เจษกับวิว ชายหนุ่มและหญิงสาวที่รู้สึกดีๆ ต่อกัน เท่านั้นจริงๆ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image