The Lost Daughter เมื่อคนเป็นแม่ต้องการออกจากชีวิตความเป็นแม่

The Lost Daughter เมื่อคนเป็นแม่ต้องการออกจากชีวิตความเป็นแม่

The Lost Daughter

เมื่อคนเป็นแม่ต้องการออกจากชีวิตความเป็นแม่

The Lost Daughter หนังที่พูดถึงผู้หญิงและความเป็นแม่ได้ล้ำลึกน่าคิด น่าใคร่ครวญอย่างยิ่ง เมื่อหนังเรื่องนี้ตั้งคำถามถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่อาจจะไม่ได้เป็นแม่ที่เพียบพร้อม เธอรักห่วงใยลูก แต่เธอก็หวงแหนและถวิลหาความพึงพอใจของตัวเองเช่นกัน เมื่อแม่คนหนึ่งเลือกที่จะไม่เสียสละบางอย่างเพื่อลูก และเลือกที่จะทำตามใจตัวเองในช่วงชีวิตหนึ่ง ถือเป็นหนังที่ท้าทายแนวคิดค่านิยมความเชื่อต่อความเป็นแม่ แต่ที่สุดหนังก็เลือกจะไม่ทิ้งความคลุมเครือใดๆ และมีคำตอบที่ชัดเจนให้ในท้ายที่สุด

ความดีงามของภาพยนตร์เรื่องนี้คือ การแสดงที่ถ่ายทอดได้อย่างเร้าความรู้สึกถึงคนดูของสองนักแสดงนำในเรื่อง คือ “โอลิเวียร์ โคลแมน” และ “เจสซีย์ บัคลีย์” ที่มารับบทเดียวกันในสองช่วงเวลาของตัวละครหลัก “เลด้า คารูโซ่” โดยหนังพาเราไปดูช่วงเวลาพักร้อนของ “เลด้า” อาจารย์มหาวิทยาลัยด้านวรรณคดีเปรียบเทียบที่เดินทางมาจากอเมริกาเพื่อมาพักผ่อนท่องเที่ยวตามลำพังบนเกาะแห่งหนึ่งในประเทศกรีซ

Advertisement

หนังเปิดเรื่องให้เห็นถึงรอยยิ้มท่วงท่าสบายๆ ของ “เลด้า” ระหว่างขับรถมาที่พักบนเกาะ ภาพที่เห็นคือหญิงวัยกลางคนที่เต็มไปด้วยอารมณ์สุนทรีย์ เป้าหมายคือ ปลีกวิเวกเพื่อมาพักผ่อนและใช้เวลาว่างเขียนงานวิชาการของเธอริมหาดทุกวัน แต่การเดินทางมาพักร้อนแบบข้ามทวีปของ “เลด้า” ก็นำพาความทรงจำในอดีตช่วงวัย 20 ต้นๆ ไหลมาเทรวมกันอีกครั้ง

หนังเล่าอย่างคู่ขนานระหว่าง “เลด้า” ในวัย 48 อาจารย์มหาวิทยาลัยระดับศาสตราจารย์ลูกสอง ที่ดูเพียบพร้อม เป็นผู้ใหญ่ ภูมิฐาน นิ่งเงียบ กับ “เลด้า”
ในวัย 20 ต้นๆ ที่เป็นคุณแม่ลูกสองสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิงที่ต้องพยายามทั้งเขียนงานวิชาการ อ่านหนังสือ และถูกรุมล้อมด้วยลูกๆ ตัวน้อยแสนซนทั้งสองตลอดเวลา

จากนั้นทุกนาทีในหนังก็ค่อยๆ พาคนดูไปติดตามดูชีวิตสองช่วงเวลาของ “เลด้า” ที่ดูจะมีความลับดำมืดสะกดรอยตามเธอมาในการพักร้อนครั้งนี้ สลับกับการมาถึงของครอบครัวอเมริกันเชื้อสายอิตาเลียนคณะใหญ่ที่ยกโขยงญาติและเพื่อนๆ มาพักผ่อน และมีกิจวัตรที่ก่อกวนนักท่องเที่ยวริมหาดอยู่พอสมควร กระนั้นดูเหมือน “เลด้า” จะให้ความสนใจเป็นพิเศษกับครอบครัวใหญ่นี้ โดยเฉพาะการลอบมอง “นีน่า” คุณแม่วัยสาวกับลูกสาวตัวน้อย ซึ่งแม่ลูกคู่นี้ได้ดึงความทรงจำสมัยเป็นแม่วัย 20 ต้นๆ ของ “เลด้า” ให้ย้อนกลับมาโลดแล่นอีกครั้ง

“The Lost Daughter” พาไปดูวิถีความเป็นแม่ของเลด้า ที่มีทั้งช่วงละมุนและหนักหน่วงใจ เมื่อความรับผิดชอบของความเป็นแม่สวนทางกับการพยายามสานฝันในหน้าที่การงาน ซึ่งครั้งหนึ่ง “เลด้า”
ก็เลือกที่จะถูกมองว่าเป็นแม่ที่เห็นแก่ตัว และการมาพักผ่อนบนเกาะสวยงามริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนก็กลายเป็นการสารภาพความรู้สึกของเธอทั้งหมดเพื่อที่จะไปต่อข้างหน้าให้ได้ในวัยกลางคน

หนังทำได้อย่างลื่นไหลในการเล่าสองช่วงเวลาชีวิตของ “เลด้า” และเรื่องราวที่อาจทำให้เรากระอักกระอ่วนใจต่อการตัดสินใจของเธอในอดีต แต่ด้านหนึ่งก็กลับทำให้เราเข้าใจชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งที่พยายามจะเป็นแม่ให้ดีที่สุด แม้จะยากเหลือเกินเมื่อตัวตนของเธอยังคงโหยหาความอิสระ ปลดปล่อยชีวิตจากพันธนาการความรับผิดชอบ กระนั้นไม่ว่า “เลด้า” จะตัดสินใจออกจากชีวิตความเป็นแม่ แต่ก็ดูเหมือนจะมีความเป็นแม่โดยธรรมชาติในผู้หญิงทุกคนไม่มากก็น้อยที่เราได้เห็น แม้จะไม่ราบรื่นก็ตามที

ตัวละคร “เลด้า” อาจจะไม่ได้เป็นแม่ที่สวยงามประเภทที่คอยบอกคนอื่นเสมอว่า หลังมีลูกชีวิตฉันเปลี่ยนไปสิ้นเชิง กลายเป็นคนละคนที่ดีขึ้น พบเป้าหมายในชีวิตที่ทำเพื่อลูก ซึ่งแน่นอนอาจจะจริงสำหรับใครหลายคน แต่กับ “เลด้า” นั้นการมีลูกคือความสุข แต่ในอีกมุมหนึ่งมันก็มีความขมขื่นในช่วงชีวิตหนึ่ง แต่นั่นก็ผ่านมาหมดแล้ว การตัดสินใจหาทางออกของคุณแม่วัย 20 ต้นๆ ที่อาจจะดูโหดร้ายกับการตัดสินใจที่จะทอดทิ้งลูกสาวตัวน้อย 2 คน นานถึง 3 ปี เพื่อออกไปใช้ชีวิตตามเส้นทางสายวิชาการที่รัก และการนอกใจที่เกิดขึ้น แน่นอนว่าเป็นตะกอน และสิ่งติดค้างในใจมาตลอด

แม้ต่อมาหนังจะทำให้เข้าใจได้ว่า “เลด้า” ผ่านช่วงนั้นมาได้ เมื่อเธออายุ 48 ปี ความสัมพันธ์ของเธอกับลูกๆ ยังคงดีอยู่ ความเป็นแม่ที่มีช่วงเวลาที่แย่ที่สุดได้ผ่านมาแล้ว แต่ระหว่างการพักร้อนแดนไกลก็ได้นำพาความทรงจำอันเจ็บปวดในวัยสาวย้อนกลับมาเป็นผีคอยประณามความเป็นแม่ในอดีตของเธออย่างน่าเห็นใจ

“The Lost Daughter” เล่าเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งที่อาจจะยังไม่เป็นผู้ใหญ่นักในช่วงที่ต้องมีความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ พร้อมกับความสับสนของตัวเองต่อความเป็นแม่ แต่ที่สุด “เลด้า” ก็คือตัวอย่างของผู้หญิงที่ต้องต่อสู้กับความคาดหวังและแรงกดดันจากความเชื่อโดยสุจริตของทุกคนถึงความเป็นแม่ที่ดี แม้เธอจะปฏิเสธไปช่วงหนึ่ง
โดยภาพรวมหนังไม่ได้ให้ภาพ “เลด้า” อย่างน่ารังเกียจ หรือการเป็นแม่ที่ไม่เอาใจใส่ลูก แต่พาไปดูความรู้สึกโดดเดี่ยว ความปวดร้าว ความรัก ความเปราะบางของคนเป็นแม่ ที่ถูกถาโถมด้วยคำว่าความรับผิดชอบ ที่ส่งผลทั้งร่างกายสุขภาพจิตใจ การไม่มีเวลาพักผ่อน โอกาสทางอาชีพการงาน จนเสมือนว่า “เลด้า” ไม่มีทางออกสำหรับตัวเอง และไม่มีทางเลือกในแรงกดดันนี้

ถือเป็นหนังดราม่าราบเรียบ แต่น่าติดตาม เมื่อมันท้าทายแนวคิด “ความเป็นแม่” โดย “The Lost Daughter” ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ที่จะประกาศผลในปลายเดือนมีนาคมนี้ 3 สาขา คือ สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม และสาขาบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม ถือเป็นผลงานภาพยนตร์ชั้นดีอีกเรื่องที่ไม่ควรพลาด

ภาพประกอบ Youtube Video / Netflix

 

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image