อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ของ ‘ต่อ ธนภพ’ ผู้เคยสอบตกการแสดง

อดีต ปัจจุบัน และอนาคตของ ‘ต่อ ธนภพ’ ผู้เคยสอบตกการแสดง

กำลังเข้มข้นสุดขีด สำหรับละคร ‘ใต้หล้า’ ที่กำลังออกอากาศอยู่ทางช่องวัน 31 ทุกวันพุธ-พฤหัสบดี เวลา 20.20 น. กับกระแสความปังนี้ ต่อ ธนภพ ลีรัตนขจร ยิ้มรับ ก่อนฝากบอกไปถึงแฟนๆ ว่า อย่าได้พลาด

เพราะ “มันจะเข้มข้นไปจนถึงตอนสุดท้ายชัวร์ๆ”

สำหรับตัวเองที่ปกติแม้จะมีความตั้งใจจะดูละครที่ตัวเองแสดงตอนออกอากาศ เพื่อเช็กผลงาน แต่เอาเข้าจริงด้วยภารกิจโน่น นี่ หลายครั้งจึงไม่สามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง แต่ถึงอย่างนั้นก็จะมีบางฉากบางตอนที่เขาจะปักหมุดตัวเองไว้ ‘ว่าต้องดู’

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ ‘พิเศษกว่า’ ที่ผ่านๆ มา ตรงที่มีการปักหมุดถี่ๆ แทบจะทุกตอน -เพราะความอิน

Advertisement

“ด้วยภาษาที่เรื่องนี้มันกล้าที่จะพูด มีหลายๆ สิ่งที่เหมือนเป็นคำพูดในใจเรา”

ทั้งนี้ เขายังเชื่อด้วยว่า ไม่ใช่แค่เขาที่รู้สึกอย่างนั้น แต่ทั้งผู้กำกับ นักแสดง และทีมงาน น่าจะรู้สึกแบบเดียวกัน

กับบทบาทของตัวละคร ‘ใต้หล้า’ นักแสดงที่ใครๆ ต่างยอมรับในฝีมือ บอกว่า เขาใส่ใจตัวละครแบบละเอียดในทุกอณู

Advertisement

“ผมประคบประหงมใต้หล้ามาเยอะมากๆ ผมโอ๋เขาอ่ะ เอาง่ายๆ ตั้งแต่เด็ก จนวันที่เรารอดูเขาสำเร็จ”

ดังนั้น “มันจะมีคำในใจตลอด ว่าอย่าพลาดนะ เพราะอุตส่าห์ทำมาขนาดนี้”

แต่แม้จะระลึกไว้ และทำให้เต็มที่ในทุกๆ ฉาก หากต่อก็ยอมรับว่า ยังมีความรู้สึกกลัว ด้วยเหตุนี้ทุกครั้งหลังแสดงเสร็จ เขาจะขอเช็กเทป ดูผลงานตัวเองไม่ได้ขาด เพราะอยากให้ออกมาดี แบบดีจริงๆ

ขณะเดียวกัน ตลอดเวลาของการถ่ายทำเขาก็ “ต้องทำการบ้านหนัก แต่หนักที่บ้านนะ พอมาถึงกองผมก็ชิลละ เหมือนกับนักกีฬามั้ง ที่จะซ้อมจนมันเข้าที่สุดสุด”

เมื่อถามถึงความรู้สึกที่ได้เห็นตัวเองจากงานชิ้นนี้ ต่อบอกทันที “รู้สึกพอใจกับสิ่งที่ได้เห็น พอใจมาก”

พร้อมกันนั้นก็รู้สึกว่ายินดี ปลื้มใจ และรู้สึกโชคดีเหลือเกินที่ได้ทั้งประสบการณ์จากงาน รวมถึงได้เห็น ‘โลกความจริง’ ว่ายังมีคนเก่งๆ อีกมาก ขณะเดียวกัน คนเหล่านั้นไม่ว่าจะเป็น ตู่ นพพล โกมารชุน, ดวงดาว จารุจินดา, เผือก พงศธร จงวิลาส ที่ร่วมแสดงด้วยกันในเรื่อง ก็มีอะไรหลายอย่างให้เขาได้เรียนรู้

“ผมได้อะไรเยอะมากๆ”

“ตอนแรกดูเบอร์แต่ละคน ยังคิดเลยว่าโห…ขนลุก พี่เขาจะมากันเหรอ”

และ “เราก็ตัวเล็กๆ น้อยๆ กลัวทำเขาเสียเวลา”

ครั้นพอได้มาทำงานด้วยกันจริงๆ “สบายกว่าที่คิดมากๆ ไม่กดดันเลย ทุกคนน่ารักกับผม จนเราลืมความกดดัน”

แต่แม้จะเป็นอย่างนั้น ทุกครั้งที่ต้องเข้าฉากร่วม “ก็มีความรู้สึกในใจเหมือนไฟลนก้นอยู่” ต่อเล่าพลางหัวเราะ

“คือมันเหมือนกับเกรงใจ จะเกรงใจตลอดเวลา อย่าผิดนะๆ”

กับความใต้หล้าที่สะท้อนแง่มุมต่างๆ ในสังคม ต่อบอก “จริงๆ ใต้หล้าเป็นเหมือนตัวแทนของพวกเรานี่แหละ ผมเคยอ่านฟีดแบ๊กคนดู ทุกคนจะพูดว่า ใต้หล้าสู้ชีวิตมาก แต่ชีวิตสู้กลับ”

“คือสุดท้ายแล้วเวลาที่มันผ่านอะไรที่ฮาร์ดมากๆ มันคือเรื่องของคำว่าปล่อยวาง แต่ไม่ใช่ทิ้งไปเลย”

“เราต้องรู้ตัวเอง เราไม่ใช่เครื่องจักร ทำงานตลอดไม่ได้ ถึงจุดนึงก็ต้องเจอกันพรุ่งนี้ เดี๋ยวว่ากัน”

พักแล้วก็ลุกขึ้นสู้ใหม่

การทำงานกับละครดราม่าหนักๆ แบบนี้ ต่อบอกว่าเขาไม่มีปัญหาเรื่องติดคาแรคเตอร์ จนส่งผลต่อชีวิตประจำวัน

ไม่ใช่ว่าเก่ง แต่เป็นเพราะเคยเจอมาอย่างหนัก แต่ปัจจุบันได้รับการเยียวยา แก้ไข

ตอนเป็น ‘พี่ยิม’ เด็กออทิสติกในซีรีส์ Project S ตอน Side by Side พี่น้องลูกขนไก่ นั่นสุดๆละ ต่อบอก

“ตอนนั้นไม่รู้ตัวว่าติด แล้วเซ็งทุกครั้งที่โดนคนรอบข้างพูด ว่าอีกแล้วๆๆ คือเหมือนเขาพยายามเตือน เพื่อให้เราหลุดออกมา”

ที่หนักสุดในห้วงนั้นคือ มีอยู่วันหนึ่งขณะกำลังประชุมกับคนจำนวนมาก “รู้ตัวอีกทีผมตีโต๊ะปั้ง แล้ว เฮ้ย! เสียงดังออกมา” จากนั้นก็เห็นผู้อยู่ร่วมในเหตุการณ์ตกใจ หน้าตาเหวอ เหรอหราถ้วนทั่ว

“ทั้งๆ ที่เหตุการณ์ตอนนั้นไม่มีอะไร แต่เหมือนกับร่างกายเราทำจนชิน แล้วไม่รู้ตัว มันเป็นธรรมชาติไป”

โชคดีที่ต่อมาสลัดหลุดไปได้ ตอนแสดง ‘เลือดข้นคนจาง’ ที่ ย้ง-ทรงยศ สุขมากอนันต์ กำกับ

“เจอพ่อเฆี่ยนในกองแบบสุดๆ ไม่หลุดให้มันรู้ไป” คือคำอธิบายที่มาพร้อมเสียงหัวเราะ

เมื่อถามถึงการเลือกรับงานแต่ละชิ้น ต่อบอกว่า เขาวัดจากความรู้สึกของตัวเองเป็นหลัก แต่สิ่งที่ต้องยอมรับคือ ‘ผู้ใหญ่’ เป็นปัจจัยสำคัญ

“ต่อให้เราอยากเล่นบทนี้ แต่กว่าจะได้เล่น มันอยู่ที่ผู้ใหญ่เชื่อไหม ว่าเราเล่นได้”

“ยิ่งบทที่เขาไม่เคยเห็น ไม่ผิดเลยถ้าเขาจะไม่ให้เล่น เพราะเราเอาอะไรมารับประกันเขา ว่าเราจะทำได้”

เช่น หากวันนี้บอกว่าอยากลองเล่นคอมเมดี้บ้าง หลายคนคงกลัวที่จะส่งงานให้

“ถ้ามีโอกาส ผมว่าจะเป็นชาเลนจ์ที่ยากสุดเลยแหละ”

เพราะ “ผมเคยสอบตกในคลาสแอ็คติ้งคอมเมดี้ด้วยนะ” ต่อสารภาพ

ในคลาสนั้น เขาเป็นคนเดียวที่สอบตก แถมครูผู้สอนยังบอกตรงๆ ‘อย่าเล่นนะ ขอเลยจริงๆ’

การสอบตกดังกล่าาว เขาไม่ได้ติดใจ เพราะรู้ตัวเองว่า “จังหวะมันผิดไปหมด ผมเอาความซีเรียสไปใช้ในคอมเมดี้”

ตอนฟังครูขอ ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเช่นกัน เพราะถ้าให้เลือกก็ชอบดราม่ามากกว่าอยู่ดี แต่ ณ วันนี้ เริ่มคิดอยากลองอะไรที่ต่างออกไปจากที่เคยทำ

ณ ปัจจุบัน ต่อบอกว่าเขามีความสุขและสนุกกับการทำงานมากๆ หากก็ยังไม่ลืมความรู้สึกเป็นทุกข์ ตอนรู้สึกเคว้ง ช่วงที่ไม่มีงานแสดงแสดงอยู่หนึ่งปีเต็มๆ

ช่วงเวลาที่เขาถามตัวเองว่า “นี่ยังเป็นที่ของเราอยู่ไหม”

“มันเป็นช่วงที่ผมไม่สามารถขึ้นมาเล่นบทโตได้ แล้วจะกลับไปชุดนักเรียนก็ไม่ได้” คือสถานการณ์ที่เขานำมาอธิบาย

ตอนนั้นคนรอบตัวเขาบอกว่า ด้วยใบหน้าที่ดูยังไงก็ไม่ใช่ ‘คนโตแล้ว’ การจะขยับไปรับบทแบบนั้น คงไม่ได้รับความน่าเชื่อถือ แต่พอได้แสดงเป็น ‘พี่ยิม’ ได้รางวัลนาฏราชจากบทดังกล่าว ก็ทำให้ค้นพบว่า ถ้ากล้า ก็อาจเห็นผลลัพธ์ที่คาดถึงไม่ถึง

และนั่นก็ทำให้เขารับแสดงเรื่อง ‘หัวใจศิลา’  สลัดลุควัยรุ่น มาเป็นผู้ใหญ่วัยทำงาน

และได้ก้าวข้าม ผ่านคำว่า ‘ทำไม่ได้’ ไปในที่สุด

นอกจากมุมมองเรื่องการทำงานแล้ว กับชีวิตส่วนตัว ต่อยอมรับว่า ในวัย 28 ปี ตอนนี้มุมมองเรื่องการมีครอบครัวของเขาเปลี่ยนไป

“โลกตอนนี้มันทำให้ผมเปลี่ยนทุกปีเลย จากสิ่งที่ผมเห็น สิ่งที่ผมเจอ”

ด้วยถ้าเป็น ‘ต่อในอดีต’ เขาคงพูดได้เต็มปาก ว่าอยากแต่งงาน อยากมีครอบครัว และ “อยากเป็นพ่อเท่ๆ”

แต่ต่อในวันนี้เริ่มมีความไม่แน่ใจ

“ผมยังเชื่อในความรักอยู่เหมือนเดิมนะ ว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนควรมีให้กัน แต่ผมแค่ไม่แน่ใจ ว่ามันคือไฟนอลจริงๆ ไหม”

จากเมื่อก่อนที่คิดว่ารักแล้วแต่งงาน คือจบ แต่พอเห็นตัวอย่างจากคนใกล้ชิด ว่าหลังแต่งงานชีวิตจะเริ่มมีสิ่งอื่นๆตามมา ทั้งความรับผิดชอบที่มากขึ้น ค่าใช้จ่ายที่มากชึ้น โดยเฉพาะเมื่อมีลูก

“ถ้ามี เราก็อยากเลี้ยงเขาให้ดีๆ อย่างน้อยที่สุดคือเขาต้องใช้ชีวิตดีกว่าที่เราโตขึ้นมา”

“ก็เลยแค่ไม่แน่ใจว่านี่คือสิ่งที่เราต้องการไหม”

ระหว่างนี้เลยค่อยๆคิด ค่อยๆตัดสินใจ และในอนาคตความคิดอาจจะเปลี่ยนไปอีก (หลาย) ครั้งก็เป็นได้.

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image