นก จริยา มาเปิดใจในรายการคุยแซ่บ SHOW ทางช่องวัน 31 เล่าประสบการณ์ไม่ดีที่เคยเจอบนเครื่องบิน จนส่งผลให้อาการแพนิกกลับมากำเริบ ว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้นระหว่างเที่ยวบินที่เธอกับลูกสาวจะเดินทางไปต่างประเทศ โดยเธอกับลูกต้องนั่งติดกับผู้โดยสารชายชาวต่างประเทศคนหนึ่ง ซึ่งใส่เฝือกที่มือและขา
“พอนั่งไปสักพัก เครื่องออก ลูกสาวก็ทำหน้าตกใจ บอกว่า มี๊เขาเกาต้นแขนหนูอ่ะ เราก็ตกใจ ชะโงกไปดู เหมือนเขากึ่งหลับกึ่งตื่น บอกเขาละเมอมั้ง อาจไม่ได้ตั้งใจ ยังมองในแง่ดี อีกสักพัก ลูกบอกว่ามือเขาไหลมาข้างหนูบ่อยมากเลย ไม่ดีละ เราก็ยังคิดว่าเขาไม่ตั้งใจ ก็คิดว่าไปบอกพนักงานสายการบินให้เขาเปลี่ยนที่ หรือว่าดูแลเรามากขึ้น เพราะเรารู้สึกไม่สบายใจ แอร์ก็ทำท่าแบบไม่ว่างมาก เขาต้องไปถาม ฟังความข้างเดียวไม่ได้ เราก็โอเค ถ้าเขาจะไปถามซอฟต์ๆ เขาก็ให้ลูกสาวเดินตามไป แล้วไปถาม คนนั้นเขาก็โวยขึ้นมาเลย เขาไม่สนใจหรอก เขาแต่งงานแล้ว กลายเป็นสถานการณ์แย่ขึ้นไปอีก”
การจะเปลี่ยนที่ก็ทำไม่ได้ เพราะไฟลต์เต็ม เธอจึงตัดสินใจสลับที่นั่งลูกสาว
“เรานั่งกลางเอง ต้องนั่งอีกเกือบ 10 ชั่วโมง”
บอกด้วยว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนั้น ส่งผลให้ภาวะแพนิกที่กำลังรักษาอยู่กำเริบขึ้น
“ณ วันนั้นเราเริ่มตกใจ และก็กังวลเยอะ แต่ไม่ยอมกินยา มีความรู้สึกว่ายาทำให้ง่วง ไม่รู้สถานการณ์คนนี้ยังไง ก็เลยฝืน”
“เขาก็ดื่มเครื่องดื่มไปเรื่อยๆ หันมาสบถใส่เรา เราก็บอกพอ หยุด ต่างคนต่างนั่งไป เราสองคนแม่ลูกโกรธการจัดการที่มันแย่มาก น้ำตาไหลอ่ะ มันไม่ควรเกิดขึ้น”
หลังจากนั้นผู้โดยสารคนดังกล่าวยังทำแก้ววิสกี้หก จนกางเกงของเธอ รวมถีงที่นั่งโดยสารเปียก จนกระทั่งมีพลเมืองดีเข้ามาช่วย
“เขาเดินมาบอกว่าถ้าต้องการเปลี่ยนที่ บอกผมนะครับ ผมยินดี แต่เราก็เกรงใจ เพราะที่นั่งเราเปียกหมดเลย เขาก็พยายามเดินมาบอก ว่าไม่เป็นไร เราก็รับความช่วยเหลือจากเขา เขามากับครอบครัว คุณแม่ แล้วก็ภรรยา เขาย้ายไปนั่ง 2 ที่”
สำหรับคนที่มาช่วย นก จริยา บอกว่า เป็นคนลาว “น่ารักมากๆ เลย เดินเข้ามา ผมยินดีนะครับ ผมมีลูกสาว ผมเข้าใจ มันไม่ควรเกิดขึ้น”
สำหรับอาการแพนิกที่เป็น เธอบอกว่า “เป็นในช่วง 2-3 ปีที่ทุกคนโดนภาวะโควิด”
“งงตัวเองมากเลย เราเป็นคนทำงาน เป็นคนแข็งแรงมาตลอด จะไม่เคยรู้จักเลย แพนิกคืออะไร แต่ช่วงที่เป็นมันมีภาวะของการทำงานไม่ได้ ต้องหยุดงาน ชีวิตลูกน้อง ครอบครัวลูกน้อง เราเก็บทุกภาวะความเครียด ทุกข่าว เป็นช่วงที่คุณพ่อไม่สบาย หมอก็ต้องไปดูแลคนไข้โควิดมากกว่า โรงพยาบาลไม่สามารถไปได้ ทำให้การรักษายากลำบาก เครียด ห่วงพ่อ ห่วงงาน ห่วงลูกน้อง คงเป็นมวลรวมที่เจอในช่วงนั้น”
“มันเป็นโรคของความวิตกกังวล เราคงเครียดไม่รู้ตัว สิ่งที่เพิ่งมารู้ มาเห็น คือคนที่เป็นแพนิกมักคิดว่าตัวเองแข็งแรง เก็บโน่นเก็บนี่ไว้เอยะๆ โดยที่ไม่รู้ตัว มันเป็นสิ่งเคมีในรางกาย ภาวะทางอารมณ์ที่เราควบคุมไม่ได้ แต่คิดว่ามันมาจากความเครียด”
ครั้นพิธีกรถามว่าเหตุการณ์รถชนของเธอ เกี่ยวโยงกับเหตุดังกล่าวไหม จริยาก็ว่า
“มันกระตุ้นอาการออกมา เป็นคนชอบขับรถเอง ช่วงละครถ่ายต่างจังหวัด คงเหนื่อย เครียด จากภาวะที่เล่า วันนั้นก็ดื้อ ขับรถไปเองตอนกลางคืน เพื่อที่จะได้ไม่ต้องขับรถแต่เช้า ไปตอนเที่ยงคืน อยู่ดีๆเกิดอาการหลับใน เห็นอีกทีเป็นท้ายรถบรรทุก เราตกใจเลยชะลอเข้าข้างทาง บอกตัวเองว่าง่วง ตบหน้าตัวเองใหญ่เลย พอขับออกไปอีก เป็นอีกแล้ว เพราะภาวะตกใจเมื่อกี๊ มันสตั๊นท์มาก บอกกับตัวเองฉันไม่ได้กลับแน่ๆเลย ฉันตายแน่ๆ วันนี้ มันเลยทำให้แขนขาชา เลยโทรบอกน้องสาวให้มารับหน่อย จอดอยู่ข้างทาง”
ถึงวันนี้นก จริยา บอกว่าเธอยังขับรถเองไม่ได้
“ไม่ได้เลย จะ 2 ปีกว่าแล้ว ช่วงแรกเราคิดว่าแค่เพลีย แค่ตกใจ เหมือนสักพักนึงอาการมันพัฒนาแรงขึ้นๆ มีอาการอื่นแทรกซ้อนเข้ามาอีก มีอาการตามมา คือพอนอนปุ๊บตกใจตื่น ผวา กว่าจะดีขึ้นต้องใช้เวลา อีกอย่างวันไหนถ้าตกใจ หรือมีความกังวลอะไร จะเดินไม่ได้ แพนิกไม่ได้ทำให้ใครตายหรือป่วยทางกาย มันเป็นที่จิตสั่ง และเคมีในสมอง”
ตอนนี้ก็กำลังอยู่ระหว่างการรักษา
“เราไม่อยากเป็นภาระลูกหรือคนรอบข้าง งานก็ทำไม่ได้ดี ก็หาหมอ จิตแพทย์”
“ตอนนั้นไม่รู้เป็นแพนิก ไปหาหมอ ยังถามหมอเลยเราจะเป็นคนบ้าหรือเปล่า คุณหมอบอกคนเป็นเยอะมาก จากภาวะโควิด มันเป็นสภาวะกระทบจิตใจไม่รู้ตัว คุณหมอจะคุยแล้วดูตามสิ่งที่เราเป็น ว่าควรปรับเคมี หรือได้นอนแบบไม่ผวา รักษาตามสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วก็ทานยา”
“2-3 ปีนี้สอนอะไรเราเยอะมาก มาเรียนรู้ว่า ชีวิตมันไม่แน่นอนจริงๆ เราจะเครียดทำไม รักษาตัวเองด้วยการหาหมอ พยายามบอกตัวเองว่ามีความสุขเถอะ มองโลกอย่างที่โลกเป็น”
เรื่องสามี คือ จอนนี่ สนใจทำงานด้านการเมือง จริยาบอก ตอนแรก “ก็ตกใจ แต่ว่าเราไม่ห้าม ไม่สนับสนุน มันเป็นสิทธิของเขา เราแค่บอกว่าถ้าคุณอยากทำงาน ทำให้ดีที่สุดแล้วกัน เราไม่ได้สนับสนุน เพราะเราเป็นห่วง แต่ว่าเราไม่ห้าม”
“ทุกวันนี้เขาก็ยังไม่ได้ไปลงอะไรชัดเจน ยังไม่มีวาระ หรืออะไร”