….
จากจุดเริ่มต้นที่อยากจะเล่าเรื่องของฝาแฝด ‘2 แฝด’ ในชีวิตจริง วรรณแวว และ แวววรรณ หงษ์วิวัฒน์ จึงตัดสินใจร่วมกันเขียนบทภาพยนตร์ ‘เธอกับฉันกับฉัน YOU & ME & ME’ เพื่อนำเสนอให้ค่าย GDH พิจารณา แล้วก็เข้าตา โต้ง บรรจง ปิสัญธนะกูล เต็มๆ
“พอได้อ่าน ผมก็รู้สึกว่ามันเมจิกมากเลย” โต้งเผย
แต่กระนั้นก็คิดว่า ถ้าเขากำกับเอง คงจะทำออกมาไม่ละเมียดละไมแบบที่รู้สึกได้ตอนอ่านบท ด้วยเหตุนี้จึงขอทำหน้าที่โปรดิวเซอร์ และให้คู่แฝดซึ่งเคยมีผลงานคู่กันมาแล้วหลายชิ้น ทั้งร่วมเขียนบท และกำกับซีรีส์เรื่อง ‘I Hate You, I Love You’ , ‘สุภาพบุรุษสุดที่เลิฟ’ กำกับมิวสิควิดิโอ ‘รักติดไซเรน’, ‘Aitakatta (อยากจะได้พบเธอ)’ กำกับภาพยนตร์สารคดี ‘Wish Us Luck ขอให้เราโชคดี’ รวมถึงยังร่วมเขียนบท ‘ฮอร์โมน วัยว้าวุ่น’ ทั้ง 3 ซีซั่น) ฯลฯ ร่วมกันกำกับการแสดง
ทั้งนี้วรรณแววบอกว่า หนังเรื่องนี้จะพูดถึงฝาแฝด ‘ยู’ กับ ‘มี’ ที่ต่างก็เปรียบเสมือนโลกทั้งใบของกันและกัน
“สนิทกันมาก เติบโตมาด้วยประสบการณ์เดียวกัน ผูกพันกัน จนถึงวันหนึ่งที่เริ่มมีประสบการณ์ที่อาจจะแชร์ให้กันไม่ได้”
“นั่นก็คือเรื่องรักครั้งแรก”
ส่วนที่ตัดสินใจหยิบเอายุค y2k มาเป็นฉากหลังของเรื่อง ตอนแรกก็ไม่ได้คิด
“เราอยากจะเล่าถึงความสัมพันธ์ฝาแฝด การเติบโตของฝาแฝด”
ขณะเดียวกัน “ไม่ค่อยอยากเล่าแฝดในโลกปัจจุบันเท่าไหร่” เพราะในยุคสมัยนี้ ที่เทคโนโลยีทันสมัย ทำให้สามารถแยก ‘ความแตกต่าง’ ของแฝดได้ง่ายกว่าในยุคก่อน เพราะอย่างเธอ 2 คน แม้ชื่อจะใกล้เคียงกัน แต่ในสื่อโซเชียลคนหนึ่งเลือกใช้ชื่อแวว อีกคนก็ใช้ชื่อวรรณ ก็ไม่ทำให้เกิดความสับสน หรือแยกยาก
“แล้วพอคิดจากประสบการณ์ของเรา เราผ่านยุคนั้น ในวัยนั้น เราเป็นยังไง แล้วปี 1999 เข้าสู่ปี 2000 ก็ป๊อบอัพขึ้นมา ว่าตอนนั้นมันเกิดอะไรขึ้น ทำไมคนถึงกลัวโลกแตกกัน รู้สึกว่ามันเป็นปีของความไม่รู้ ทำไมแม่ตุนข้าวของ รู้สึกว่ามันซัพพอร์ทกับภาวะของตัวละครในเรื่องดี ก็เลยเอามาแมทช์กัน”
ขณะแวววรรณเสริมว่า ฉากของหนังเรื่องนี้ เหตุการณ์ต่างๆจะเกิดขึ้นที่จังหวัดนครพนม
“เราอยากได้ภาพบรรยากาศธรรมชาติของต่างจังหวัดกลับมาอีกครั้งในหนังไทย ประกอบกับช่างภาพของเราอินกับการถ่ายภาพจังหวัดนครพนมให้ออกมาสวยงาม ทีมงานก็เซตกันแบบจัดเต็ม มันเลยทำให้ได้ภาพอย่างที่คิดไว้”
และก็ด้วยเหตุของการอยากได้ภาพธรรมชาติ กับอยากได้บรรยากาศย้อนยุค บทหนักก็เลยไปตกกับ โทนี่ อันโทนี่ บุยเซอเรท์ นักแสดงหน้าใหม่วัย 19 บอกเลยว่า มันไกลตัวเขามาก
“เราเลยต้องไปใช้ชีวิตอยู่นครพนมหลายวัน ไปใช้ชีวิตกับแก๊งเด็กๆ ไปเรียนรู้ถึงความเป็นคนอีสาน”
“ตอนแรกผมมีความกังวล ว่าจะเข้ากับคนแก๊งนั้นได้ไหม”
ขณะเดียวกันก็ยังต้องไปหัดเรียนพิณ เรียนอะไรอีกหลายๆอย่าง ซึ่งล้วนแล้วแต่ยาก หากก็สนุก
ขณะ ใบปอ ธิติยา จิระพรศิลป์ ก็เจองานหิน เพราะต้องเป็นทั้ง ‘ยู’ และ ‘มี’
“จริงๆการเล่นบทนี้ นิสัยค่อนข้างที่จะแตกต่างกันเลยค่ะ ทำให้เวลาทำการบ้าน ก็ต้องทำการบ้านคูณสอง”
ตอนเตรียมตัวแอ๊คติ้งโค้ชเลยแนะนำให้เธอเขียนเป็นไดอารี่ เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งในมุมมองของยู และก็มุมมองของมี เพื่อให้ได้ 2 มุมที่แตกต่างกัน
ย้อนเล่ายิ้มๆด้วยว่า ตอนแรกที่ไปแคสต์ เธออยากเล่นมาก ถึงกับไปบนสิ่งศักดิ์สิทธิว่าถ้าได้ จะรำถวาย ครั้นพอได้จริงๆก็ดีใจ
“แต่ว่าดีใจได้ไม่นาน เพราะว่าเป็นบทฝาแฝด ดีใจปุ๊บ หนักใจต่อเลยค่ะ” ถึงตอนนี้คนเล่าก็หัวเราะ
พร้อมกันนั้นก็รับว่า ช่วงต่อๆมา มีทั้งความรู้สึกท้อ ปะปนไปกับความรู้สึกกลัว ว่าจะทำไม่ได้
แต่ก็ฮึด
เพราะ “รู้สึกว่าเราได้รับโอกาสตรงนี้มาแล้ว ก็อยากจะทำให้ดี”
สำหรับโต้ง เขาบอกว่า มีความคาดหวังกับนักแสดง 2 คนนี้มาก
“ตอนแคสต์เป็นขั้นตอนที่สำคัญมากๆ เลยนะครับ เพราะว่ามันจะเป็นการเดิมพันว่าหนังจะรอดหรือร่วง ความหวังอยู่ที่เด็กสองคน ทั้งเรื่องมันมีเด็กสองคนที่ไม่มีใครรู้จักเลย เราเลยรู้สึกว่าต้องได้เมจิกจริงๆ”
แล้วก็ไม่ผิดหวัง
“จากตัวอย่างจะเห็นชัดเจน ต้องใช้คำว่าสองคนนี้มาจากไหนเนี่ย ทำไมเราถึงไม่เคยเห็นมาก่อน แล้วเขาเล่นได้ขนาดนี้ได้ยังไง”
“จากการที่เราเวิร์คช็อปกันมาหนักมาก พอถ่ายไปได้แค่ไม่กี่คิวก็รู้สึกได้เลยว่า สองคนนี้มีความเมจิกมากครับ”
“มันมีคิวหนึ่งที่เป็นการเล่นพิณ เป็นฉากที่เขาคุยกัน ผมดูฟุตเทจและโทรหาผู้กำกับเลย ว่าผมน้ำตารื้น เพราะรู้สึกว่าทำไมมันเมจิกขนาดนี้ และถ้ามันได้อย่างนี้ทุกคิว หนังเรื่องนี้จะพิเศษมาก”
โต้ง บรรจง ยังทิ้งท้ายว่า ถ้าให้พูดสั้นๆถึงความรู้สึกของเขา ต่อ ‘เธอกับฉันกับฉัน’ หนังแห่งการเติบโตที่มีความรักมาเป็นบททดสอบ ที่กำลังจะเข้าโรงฉายในวันที่ 9 กุมภาพันธ์นี้ เขาก็ขอบอกว่า “ผมรักหนังเรื่องนี้มากครับ”
“อยากให้ได้ดูกันจริงๆ”
