สุจิตต์ วงษ์เทศ : ต้องล้มล้างความน่าเชื่อถือ ประวัติศาสตร์บาดหมาง สร้างบาดแผล

โครงกระดูกหมาฝังรวมกับโครงกระดูกคนที่บ้านเชียง เพราะคนราว 3,000 ปีมาแล้ว เชื่อว่าหมาเป็นบรรพชนให้กำเนิดคน แล้วเป็นผู้เอาพันธุ์ข้าวมาให้มนุษย์ปลูกกินเป็นอาหาร ความเชื่ออย่างนี้มีทั่วไปทั้งภูมิภาค แล้วยังพบที่ จ. นครราชสีมา

การล้มล้างความน่าเชื่อถือทางวิชาการประวัติศาสตร์โบราณคดี ตลอดจนศิลปวัฒนธรรมของไทย เป็นความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่ต้องร่วมกันทำซ้ำแล้วซ้ำอีกจนกว่าจะเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้อง หรือใกล้เคียงเป็นที่ยอมรับกันได้

โดยเฉพาะประวัติศาสตร์บาดหมาง สร้างบาดแผล ซึ่งมีมากที่ถูกทางการไทยสร้างขึ้นใหม่โดยไม่มีหลักฐานสนับสนุน เช่น

ถิ่นกำเนิดของบรรพชนคนไทยอยู่เทือกเขาอัลไต, อาณาจักรน่านเจ้าเป็นของไทย, คนไทยเป็นขี้ข้ามอญและขอม, คนไทยปลดแอกจากขอม, สุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรกของไทย, นางนพมาศ ประดิษฐ์กระทงในประเพณีลอยกระทงกรุงสุโขทัยเป็นครั้งแรก, จนถึงไทยเสียดินแดน ฯลฯ

ที่ร้ายกว่านั้น คือ แต่งนิยายใส่ประวัติศาสตร์แห่งชาติของไทย ให้คนไทยหลงและคลั่งอย่างขาดสติ แล้วลดทอนศักดิ์ศรีเพื่อนบ้าน จนต่างตัดสินปัญหาด้วยความรุนแรงถึงขั้นรบราฆ่าฟันล้มตายต่อเนื่องมายาวนาน

Advertisement

อย่างนี้ต้องรีบร่วมกันล้มล้างความน่าเชื่อถือประวัติศาสตร์ของทางการไทยให้หมดโดยเร็วเพื่อสันติภาพ

ความเก่าแก่ของบ้านเชียง

ส่วนข้อถกเถียงว่าด้วยการกำหนดอายุวัฒนธรรมสำริดบ้านเชียง (จ. อุดรธานี) มีเอกสารชุดหนึ่งจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บอกไว้ตอนหนึ่งว่า

“เป็นมหากาพย์ทางวิชาการที่ยังไม่มีข้อยุติ

คงเป็นเรื่องธรรมดาสามัญของโลกวิชาการที่จะมีแนวคิดที่แตกต่างกันไป หากเป็นการ ‘ถกเถียงด้วยการทำงานวิจัย’ แทนที่จะเป็นการล้มล้างความน่าเชื่อถือของกันและกัน”

เรื่องนี้เริ่มจากทางการไทยกำหนดอายุวัฒนธรรมสำริดบ้านเชียง (ตามที่นักโบราณคดีสหรัฐบอกไว้ว่า) ราว 5,600 ปีมาแล้ว โดยโฆษณาว่าเก่าที่สุดในโลก

ขณะนั้นเป็นยุคสงครามเย็นที่สหรัฐเป็นหัวโจก (มีไทยเป็นบริวารที่จงรักภักดียอดเยี่ยมประเทศหนึ่ง) การกำหนดอายุบ้านเชียงจึงไม่น่าวางใจ

นักวิชาการนานาชาติจำนวนมากจากสถาบันต่างๆ ทั่วโลก ทั้งนักประวัติศาสตร์โบราณคดี และนักมานุษยวิทยา ฯลฯ ต่างคัดค้านทางการไทยไม่ควรผูกขาดอายุบ้านเชียงให้ยุติแค่นั้น เพราะว่าอายุของบ้านเชียงควรอยู่ราว 3,000 ปีมาแล้ว โดยอ้างงานค้นคว้าวิจัยทางวิชาการด้านต่างๆ มาสนับสนุน

ทางการไทยโดยขุนนางข้าราชการนักโบราณคดียุค นั้นและยุคต่อๆมา พากันตอบโต้ความเห็นตรงข้ามเหล่านั้นที่คัดค้าน บางทีเสียดสีเยาะเย้ยถากถางถึงขนาดกล่าวหาว่าร้ายกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยจนเสีย หายก็มี

นอกจากนั้นยังกีดกันและกลั่นแกล้งการทำงานค้นคว้าวิจัยของนักวิชาการทั้งไทยและไม่ไทย ที่ต้องขออนุญาตจากทางการไทย

พฤติกรรมอย่างนี้ก็ต้องร่วมกันล้มล้างความน่าเชื่อถือของทางการไทยให้ลดหรือหมดโดยเร็ว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image