อดีตคนทุกข์ กับโลกใหม่ ‘ใบเฟิร์น อัญชสา’ กับเรื่องที่คุมไม่ได้ ก็ต้องปล่อยไป

 

อดีตคนทุกข์ กับโลกใหม่ ‘ใบเฟิร์น อัญชสา’ กับเรื่องที่คุมไม่ได้ ก็ต้องปล่อยไป

“รู้สึกดีกับตัวเองมากๆ” ใบเฟิร์น อัญชสา มงคลสมัย เลือกใช้คำนี้ เมื่อต้องอธิบายถึงชีวิตในวัย 30 ปี

ด้วยขณะที่บางคนอาจรู้สึกว่า อยากหยุดอายุไว้ที่ 20 กว่าๆ แต่นางเอกคนดังกลับมองต่าง

Advertisement

“เฟิร์นผ่านอายุ 20 กว่ามาโดยที่ไม่ได้รู้สึกรักตัวเอง เห็นคุณค่าตัวเองขนาดนั้น”

“แต่พอก้าวเข้าวัย 30 มันดันเป็นวัยที่มีครอบครัวที่ดี สามีที่ดี และกัลยานิมิตรที่ดี เลยทำให้เรามองตัวเองใหม่ ต่างจากวัย 0-20 กว่าๆ เปลี่ยนความคิดในการมองตัวเอง แล้วเป็นการมองโลกแบบใหม่ด้วย เลยรู้สึกว่ามีความสุขขึ้นมาเลย”

Advertisement

และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ช่วงหลังๆ เธอกล้าที่จะพูดเรื่องสุขภาพจิต และมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น

“เราเคยรู้สึกว่าเราเป็นหนึ่งในคนที่ทุกข์กับโลกใบนี้มาก่อน รู้ว่าการทุกข์ใจเป็นยังไง การไม่รักตัวเองเป็นยังไง แล้ววันที่มีความสุขขึ้นเป็นยังไง เลยอยากให้คนที่กำลังรู้สึกทุกข์ใจหรือไม่รักตัวเอง ไม่ชอบโลกใบนี้ได้เปลี่ยนความคิดและลองมองโลกใหม่ มองตัวเองแบบใหม่ๆ”

ทั้งนี้ใบเฟิร์นรับว่า กว่าจะเดินทางมาถึงจุดที่รู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งพอ ก็ “บอกเลยว่าหนักมากค่ะ”

“เฟิร์นพบจิตแพทย์ตั้งแต่มหาวิทยาลัยแล้ว ทั้งหา ทั้งกินยา เจอทั้งจิตแพทย์ จิตบำบัด คือทุกอย่างกว่าจะมาถึงวันนี้ แต่สุดท้ายก็ค้นพบว่า ยามีส่วนช่วยเหมือนกัน หมอมีส่วนช่วยเหมือนกัน แต่สุดท้ายมันขึ้นอยู่กับตัวเราเองทั้งนั้น ไม่ว่าจะหาหมอ กินยาแบบไหน แต่ถ้าเลือกที่จะมองโลกและตัวเองเหมือนเดิม มันก็จะดีขึ้นชั่วคราว เหมือนเราพยุงไว้ แต่ถ้าเกิดเราสามารถเปลี่ยนความคิดของเราได้ มันจะเป็นอะไรที่ถาวรกว่า นั่นคือสิ่งที่เฟิร์นพยายามให้คนได้เปลี่ยนความคิดตัวเองอยู่”

เธอยังเชื่อด้วยว่า “ในวันหนึ่งถ้าเขามีความทุกข์ แล้วมีความสุขขึ้นได้ เขาก็อยากจะส่งต่อ เหมือนที่เฟิร์นส่งต่อแบบนี้ให้คนไปอีก มันก็เป็นร่างแหไปเรื่อยๆ”

“เป็นการกระจายความสุขที่ยั่งยืนและถาวร”

นางเอกคนดังยังบอกด้วยว่า อีกจุดเปลี่ยนสำคัญ และเป็นแรงใจที่ดี ช่วยให้เธอสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ ก็คือ การได้แต่งงาน

“การมีสามีคนนี้ (บอม ดนุภพ กมล)”

ภาพจากอินสตาแกรม bifern

“เพราะอย่างที่บอก เราโตมาแบบไม่รู้จักคุณค่าของตัวเอง หรือการรักตัวเองพอ วันหนึ่งมีคนมาทำให้เราเห็นคุณค่าของเรา โดยที่เราก็ไม่ได้เอาความรักหรือการเห็นคุณค่าไปยึดติดกับคนอื่นอีกแล้ว แต่เขาทำให้เห็นว่าตัวเราเองมีคุณค่าในแบบของเรา ก็เริ่มแบบ เฮ้ย! จริงเหรอ ฉันมีคุณค่าด้วยเหรอ ฉันทำผิดพลาดได้ใช่ไหม (ยิ้ม) อะไรแบบนี้”

“การที่เราทำผิดพลาดแล้วมันกลายเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้แปลว่าเราจะทำผิดได้ต่อ แต่มันกลายเป็นเรารู้ว่า อ๋อ… จริงๆ แล้ว ถ้าเราทำผิดไป เราก็ยังถูกรักนะ แล้วเราก็ยังรักตัวเองได้ ในวันที่เราไม่ได้สมบูรณ์แบบ”

มีสามีดี?

กับคำถามนี้ เธอตอบชัด “ค่ะ สามีดี” แล้วก็หัวเราะ

อย่างไรก็ตามใบเฟิร์นรับวา แม้จะเข้มแข็งขึ้น แต่ความรู้สึกที่เคยทุกข์กับคอมเมนต์นานา สารพันพลังลบที่มาถึง ทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่

“ต่อให้จะมองโลกบวกแล้ว หรือรักตัวเองมากขึ้น แต่วันที่หนักๆ ก็มี คือปกติถ้ามีคอมเมนต์หนึ่ง เฟิร์นจะยังไม่รู้สึกอะไร แต่มันจะมีวันแย่ๆ ทุกอย่างถาโถม แล้วดันมีคอมเมนต์อีก วันนั้นก็อาจจะรู้สึก ซึ่งเฟิร์นมองว่าก็เป็นเรื่องธรรมดา”

“การมองโลกในแง่บวก ไม่ใช่ว่าเราจะไม่มีความทุกข์อีกเลย สุดท้ายเราก็ยังเป็นมนุษย์เดินดิน มีวันที่สุขและทุกข์ แต่ในวันที่ทุกข์ เฟิร์นเข้าใจอะไรได้เร็วขึ้น จมอยู่กับความทุกข์สั้นลง ก็จะปล่อยให้ตัวเองรู้สึกไป เสร็จแล้วก็จะถามตัวเองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเราควบคุมได้ไหม ถ้าควบคุมไม่ได้ เพราะเกิดจากการที่คนอื่นมองเรา แล้วเห็นว่าอ้วน ก็ต้องปล่อยไป เรามาดูสิ่งที่เราควบคุมได้ อย่างเช่น ถ้าอ้วนขึ้นจริง ก็หาสาเหตุ มีการคิดวิเคราะห์มากขึ้น ให้อภัยตัวเอง ความทุกข์ก็จะหายไปเร็วขึ้น”


กรณีที่ดารานักแสดงหลายคนเจอคอมเมนต์วิจารณ์รูปร่าง เธอเองก็เจอ และยอบรับว่ารู้สึกนอยด์

“แต่ไม่เท่าเมื่อก่อน เมื่อก่อนนี่คือส่องกระจก ร้องไห้ แล้วต้องหาหมอเลย แต่ตอนนี้รู้สึกแป๊บๆ หนึ่ง อย่างที่บอก เราจะวิเคราะห์ว่าอ้วนขึ้นจริงไหม แล้วเพราะอะไร แก้ได้หรือเปล่า ไม่งั้นมันเครียด”

“เราเป็นบุคคลสาธารณะ มีคนเข้ามาคอมเมนต์ตลอดเวลา รูปร่าง ชีวิตส่วนตัว หรืออะไรๆ มีคนอยากแสดงความคิดเห็นอยู่แล้ว ต้องทำใจยอมรับนิดหนึ่งกับการที่ทำงานตรงนี้ต้องเจอ เราก็ดูไป ใครไม่ได้ล้ำเส้นก็ปล่อย แต่ถ้าใครล้ำเส้น ก็เจอกัน” นี่คือคำบอก กึ่งๆคำเตือน ที่มาพร้อมเสียงหัวเราะ

นักแสดงอดีต ‘สายฟาด’ บอกว่า อันที่จริง “ก็ยังฟาดอยู่บ้าง”

“แล้วแต่เคสค่ะ”

“แต่คุณสามีบอกเพลาๆ ลงบ้าง มันเสียเวลา ชีวิตเธอเหนื่อยแล้ว มีอะไรที่ต้องทำเยอะ ต้องรับผิดชอบเยอะ มาเสียเวลากับคนที่เขาไม่มีทางอยากจะเข้าใจเราด้วยซ้ำทำไม”
ซึ่งคิดแล้วก็ใช่


ด้วยเหตุนั้น เธอจึงพยายามปล่อยวาง ไม่เก็บมาใส่ใจ

แต่แม้จะพยายามแค่ไหน ยังมีบางครั้งที่หลุด แล้วอดรู้สึกไม่ได้

“ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็จะโทรหาสามี เมื่อกี๊เจอคอมเมนต์แบบนี้ช่วยพูดอะไรสักอย่างหน่อย เขาก็จะมีวิธีพูดอะไรของเขาแหละ ให้เราเย็นลง”

สำหรับโรคซึมเศร้าที่เคยเป็น ใบเฟิร์นบอกยิ้มๆว่าตอนนี้เหมือนจะพอ ‘ดีล’ ได้

“เฟิร์นมองว่าคนเป็นซึมเศร้า ก็จะเป็นตลอด ขึ้นอยู่กับว่าจะมีอะไรมากระตุ้นไหม แค่เหมือนเฟิร์นดีลกับเขาได้ดีขึ้น สมมุติอยู่ๆเกิดแพนิคขึ้นมา หรือใจเต้นแรงไม่มีสาเหตุ กังวลอะไรไม่รู้ ก็จะเปิดเพลง เขาเรียกว่าขันทิเบต เป็นการฟังเพลงเพื่อให้ผ่อนคลาย หรือหาคลื่นเสียงบำบัดเปิดฟัง ก็ช่วยได้”

ช่วยให้รู้สึกสงบ ใจเย็น และเป็นใบเฟิร์นที่มีความสุขขึ้น

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image