‘แจม รชตะ’ และ ‘ฟิล์ม ธนภัทร’ กับการเรียนรู้โลกแห่งความจริงผ่าน ‘กฎแห่งรักดึงดูด’

 

‘แจม รชตะ’ และ ‘ฟิล์ม ธนภัทร’ กับการเรียนรู้โลกแห่งความจริงผ่าน ‘กฎแห่งรักดึงดูด’

…..

ทั้ง ฟิล์ม ธนภัทร กาวิละ และ แจม รชตะ หัมพานนท์ ต่างบอกตรงกันว่า ดีใจที่ซีรีส์เรื่อง ‘Laws of Attraction กฎแห่งรักดึงดูด’ ที่เขาแสดงด้วยกันได้รับการตอบรับจากแฟนๆ ชนิดที่ฟิล์มใช้คำ “เกินความคาดหมาย” ขณะแจมบอกเท่าที่ตามอ่านคอมเมนต์ พบว่า “เขาดีใจที่ได้เห็นบทบาทใหม่ๆ ของพวกเรา ชอบในบทบาทของ ฌาน กับ ติณห์”

โดย ‘ติณห์’ ที่แจมรับบท คือคุณครูผู้สูญเสียหลานสาวจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ หากก็ไม่ได้รับแม้แต่คำขอโทษใดๆ จึงพยายามทวงถามความเป็นธรรมในเรื่องดังกล่าว ขณะ ‘ฌาน’ ที่ฟิล์มแสดง คือทนายความของคู่กรณี ที่ขุดทุกเล่ห์เหลี่ยมเพื่อให้ได้ชัยชนะ และผลประโยชน์ จึงเป็น 2 คนที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว แต่กระนั้นก็มีอะไรบางอย่างที่ดึงดูดพวกเขาเข้าหากัน

ในความคิดของแจม งานชิ้นนี้คือ ‘ซีรีส์ความรัก’ ซึ่งไม่ใช่แค่ความรักของคนสองคน คือฌานกับติณห์ แต่เป็นความรักของอากับหลาน ของลูกกับพ่อ และ ฯลฯ

ADVERTISMENT

“เป็นความรักที่แต่ละครอบครัวก็แสดงออกไม่เหมือนกัน”

ส่วนฟิล์มมีความเห็นว่า “มันเป็นซีรีส์สะท้อนสังคม”

“คือนอกจากมุมของเรื่องความรักแล้ว ซีรีส์เรื่องนี้ยังมีการสะท้อนสังคม ว่าเฮ้ย…มันมีแบบนี้จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการใช้กฎหมายในทางที่ผิด อำนาจของเงิน อำนาจของอิทธิพลทางการเมืองต่างๆ คือในชีวิตจริงเชื่อว่าใครบางคนอาจจะเคยประสบพบเจอมา”

ในเรื่องแจมบอกว่า “ผมเป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ซึ่งรักในความถูกต้อง เชื่อในความถูกต้อง ว่าความถูกต้องมันอยู่เหนือกว่าเงิน เหนือกว่าอำนาจ ซึ่งจะคนละขั้วกับฌานเลย ในสังคมที่เขาอยู่มันไม่ใช่แบบนั้น มันจะเจอแรงกดดันอะไรต่างกัน โดนทำร้าย โดนใช้ช่องว่างทางกฎหมายมาเป็นช่องทางในการที่ทำยังไงก็ได้ให้กดเราไว้อยู่อย่างนั้น”

ทั้งนี้ ฟิล์มบอกว่า ฌานก็เป็นทนายผู้เคยมีความเชื่อและศรัทธาในกฎหมาย แต่ก็มีจุดพลิกทำให้กลายมาเป็นคนที่ทำทุกอย่างเพื่อที่จะมีเงินและอำนาจ
ซึ่งกับบทบาทนี้ เจ้าตัวบอก “ผมเอ็นจอยมาก สนุก รู้สึกปลดล็อก สำหรับผมมันคือการแสดงที่แทบจะไม่เหลือกรอบแล้วอ่ะ”

“ในความรู้สึกส่วนตัว ผมรู้สึกว่าผมดำดิ่งไปแล้วมีแต่ความสนุก ยิ่งลึกลงไปเท่าไหร่มันยิ่งสนุก บางทีลงไปก้นบึ้งหัวใจของความชั่วร้าย หรือแบบของอารมณ์ความรู้สึกของตัวละคร ยิ่งเอ็นจอย”

ประมาณว่าแฮปปี้กับการตีความตัวละครแล้วสื่อสารออกมาให้แฟนๆ ได้ชม

ส่วนแจมนั้น แม้ลึกๆ จะไม่ชอบวิธีคิดในบางมุมของ ‘ฌาน’ และแม้จะ “เข้าใจแหละ มันคือโลกความจริง” หากกระนั้นก็อดคิดไม่ได้ว่า

“แต่มันก็เปลี่ยนได้นี่หว่า ถ้าเราไม่วิ่งตามมัน”

อีกทั้ง “ถ้าทุกคนคิดแบบนี้ทั้งโลกจะเป็นยังไง ถ้าทุกคนคิดในมุมแบบนี้” คือแบบที่ฌานเป็น “มันจะกลายเป็นไม่มีคุณธรรม ไม่มีอะไรแล้วน่ะ ทุกคนทำได้ ก็ผลประโยชน์น่ะ มันก็พังกันเละเทะไปหมดสิ”

ส่วนแฟนๆ ดูแล้วจะเกิดแนวคิด หรือละครจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรไหม ทั้งฟิล์มและแจมส่งเสียง “โห…” ยาว ก่อนแจมจะว่า “มันแล้วแต่สิ่งแวดล้อม แล้วแต่จิตสำนึกของคน”

อย่างไรก็ดี เขาคิดว่า ในชีวิตจริงยุคนี้คงไม่มีประเภท “สุดโต่งขาวสะอาด” เพราะน่าจะมี “ปัจจัยอย่างอื่นที่จำเป็นต้องเข้าไปในฝั่งเทาๆ บ้าง เหมือนอย่าผิดศีล 5 นะ อย่าโกหกนะ สุดท้ายเราก็ยังโกหกอยู่ดี มันก็ยังมีจุดแบบนั้นครับ”

ดังนั้น “ไปกลางๆ นี่แหละ ขาวบ้าง เทาบ้าง แล้วแต่” แต่ที่สำคัญคือ ต้องไม่ใช่ใช้ชีวิตแบบผิดกฎหมาย หรือไปเบียดเบียนคนอื่น ซึ่งแน่นอนว่าไม่ควรทำ

สำหรับฟิล์มเขาก็ว่าซีรีส์เรื่องนี้จะ “ทำให้คนดูได้เข้าใจความเป็นจริงมากขึ้น ย้ำเตือนว่านี่แหละคือโลกความเป็นจริง เปลี่ยนแปลงได้ไหม อันนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล บางคนดูแล้วเปลี่ยนแปลงเป็นในทางที่ดีขึ้น เป็นการเตือนสติ ดึงสติกลับมาให้ตัวเอง ว่าเรากำลังไปผิดทางนะ กับอีกคนนึงที่ก็มันเป็นแบบนี้ ก็เห็นอยู่ว่าเป็นแบบนี้ โลกมันเน่าเฟะหมดแล้ว สังคมมันเน่าเฟะหมดแล้ว เราแค่ต้องปล่อย”

“ซึ่งมันมีทั้งสอง”

“ใช้คำว่ามีทั้งดูแล้วสามารถดึงสติกลับมา แล้วทำให้ตัวเองคิด ชีวิตตัวเองดีขึ้นได้ เปลี่ยนแปลงได้ กับอีกคนกลุ่มนึงก็คือดูแล้วยิ่งย้ำเตือนว่าโลกความจริงเป็นแบบนี้แหละ เราก็แค่ต้องปล่อยให้มันหมุนไป แล้วเราก็หมุนไปกับมัน มันไม่สามารถเปลี่ยนได้ทุกคน แล้วก็ผมเชื่อว่ามันไม่มีทางเปลี่ยนได้จากจุดแค่นี้ ทุกอย่างมันเป็นฟันเฟือง ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป เพราะถ้าย้อนกลับไปกว่ามันจะมาเป็นจนถึงจุดนี้ได้ก็ใช้เวลา ถ้าจะทำให้ดี ก็ต้องใช้เวลาเหมือนกัน ในการปรับไป”

…..

*ฟิล์มกับแจม

เคยคู่กันมาแล้วตอนละครเรื่อง ‘คุณชาย’ แล้วฟิล์มกับแจมก็กลายเป็นคู่จิ้นขวัญใจแฟนๆ ครั้นกลับมาเจอกันใหม่ทั้งคู่ก็บอกว่า การทำงานง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก

การนี้แจมบอกด้วยว่า ฟิล์มที่เขารู้จักคือคนที่จริงใจในการทำงาน ดังนั้น เขาเองจึงต้องทำการบ้านก่อนไปกองให้ดี

ขณะเดียวกันยังเล่าด้วยว่า ตัวเขาเองแต่ก่อนเป็นคนแข็งๆ ไม่ค่อยสนใจคนอื่น แล้วก็ได้ฟิล์มนี่แหละที่คอยแนะนำ ว่าเวลาอยู่ด้วยกันในกองกับทีมควรต้องทำตัวแบบไหน

ฟิล์มฟังคำนี้แล้วยิ้ม ก่อนบอกว่า สิ่งที่สังเกตได้คือแจมโตขึ้น

“โตขึ้นในมุมของการอยู่ร่วมกับคนอื่น ในมุมของการทำงาน ได้เห็นว่าสิ่งที่เราสอนไปเขาก็เอาไปใช้บ้าง ไม่ใช้บ้าง” เมาธ์น้องแล้วก็หัวเราะ

ก่อนบอกต่อว่า เรื่องไหนที่แนะไปแล้วแจมทำตาม เขาก็รู้สึกดี แต่เรื่องไหนที่ไม่ ก็ทำได้แค่ “ปลง”

ด้านแจมขอใช้สิทธิอธิบาย โดยว่า ความจริงแล้วการปฏิบัติตามมีหลายวิธี สำหรับเขาคือหลังจากรับฟัง ขอบคุณ ก็เป็นขั้นตอนนำกลับมาประมวลความคิด ว่าจะสามารถนำไปปรับใช้อย่างไร

“ธรรมชาติแต่ละคนมันคนละแบบไง พี่เขาเป็นคนที่สอนปุ๊บแล้วก็ทำเลย แต่ผมเป็นคนที่สอนก่อน แล้วผมจะประมวล แล้วเอากลับไปทำคนเดียว ตอนที่ผมมีสติมากกว่า”

“ไม่ได้กบฏ ต่อต้านอะไรกับสิ่งที่คนอื่นสอน” แจมออกตัว

“แต่ผมก็มีตัวตนของผม เป็นธรรมชาติแบบนี้ ซึ่งผมไม่รู้นะว่าเขาโกรธหรือไม่โกรธ ที่เวลาเขาสอนแล้วดูเหมือนไม่ฟัง จริงๆ ฟังอยู่”

ครั้นถามคนเป็นพี่ว่าน้องคนนี้ดื้อไหม ฟิล์มบอกสั้นๆ “ดื้อ”

ทำเอาแจมสงสัย “ผมดื้อตรงไหน”

ก่อนจะได้คำตอบว่า “ทุกตรง เป็นคนดื้อเงียบ ดื้อแบบไม่รู้ตัวเองว่าดื้อ สังเกตเขาจะปิดประโยคว่าผมก็เป็นของผมแบบนี้แหละ นี่คือความดื้อ”

แต่ไม่เป็นไร เพราะ “ผมปลง” ย้ำพลางหัวเราะ

“ตอนแรกโกรธ หลังๆ เข้าใจว่าเป็นแบบนี้ อย่างที่บอกแหละครับว่าแต่ละคนมีตัวตนของตัวเอง”

แจมยังบอกอีกว่าแม้ฟิล์มจะบอกว่าปลงขนาดไหน เขาดื้ออย่างไรแต่ก็ไม่เคยปฏิเสธเวลาเขาขอคำแนะนำ

“ผมขอคำปรึกษาพี่ฟิล์มเรื่อยๆ เช่น เคล็ดลับการดูแลตัวเอง เรื่องงานไม่ค่อยได้ปรึกษา เพราะส่วนใหญ่พี่ฟิล์มเขาก็จะบอกเอง”

“เขาเป็นคนที่ละเอียดกับทุกอย่าง จะเป๊ะ”

“เหมือนเด็กต่างโรงเรียน” ฟิล์มพูดพลางยิ้ม

“คือเราไม่ได้จูนให้ต้องมาเหมือนกัน แต่จูนให้อยู่ด้วยกันได้มากกว่า ตรงกลางของเราคือความเข้าใจ เพราะถ้าเข้าใจแล้วก็เป็นอย่างที่เล่า ว่าแรกๆ อาจจะมีโกรธกัน เพราะไม่ถูกใจ แต่พออยู่ด้วยกันไป ถ้าเราอยู่กับความรู้สึกโกรธ ความรู้สึกไม่พอใจ มันทำให้เรารู้สึกแย่เอง แล้วเขาก็ไม่ได้รู้สึกดีด้วย หลังๆ เลยเป็นการที่พอเราเข้าใจว่าเขาเป็นคนแบบนี้ เขาไม่ได้ผิด แค่เป็นสิ่งที่เราไม่ชอบ เราก็แค่ยอมรับ”

“คือต้องเข้าใจว่า เราไม่มีความสามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างบนโลกได้ อะไรที่เปลี่ยนไม่ได้ก็แค่ยอมรับ แล้วก็ปลง”

ในแง่ความสัมพันธ์ ทั้งฟิล์มและแจมบอกว่าทุกวันนี้พวกเขาสนิทกันมากขึ้น

“ทำงานด้วยกัน ผ่านอะไรต่ออะไรมาด้วยกันหมด ถามว่ามีโกรธ มีงอนไหม ก็มีบ้าง แต่แป๊บๆ ก็เข้าใจ เพราะโตๆ กันแล้ว” แจมบอก

ส่วนฟิล์มก็ว่า “ผมแค่เรียนรู้ที่จะเข้าใจเขา อะไรที่สอนให้เขาได้ก็สอน สิ่งที่เราจะได้มาคือความภูมิใจในวันที่เขาเติบโต ถ้าวันนี้เขาไม่ได้เรียนรู้ วันหน้าเขาก็ต้องพบเจอด้วยตัวเอง วันนี้เราทำงานด้วยกัน อะไรที่ผลักดันได้ เราก็ทำ”

“แล้ววันนึงเขาก็ต้องไปผลักดันคนอื่น”

ตามประสาพี่ที่หวังดีกับน้อง