‘ม้า อรนภา’ น้ำตาไหล พูดถึงคนในวงการ ที่เคยค้างคาใจ 

 

‘ม้า อรนภา’ น้ำตาไหล พูดถึงคนในวงการ ที่เคยค้างคาใจ 

เพิ่งเสร็จจากงานศพของแม่มาเมื่อไม่กี่วันก่อน โดย ม้า อรนภา กฤษฎี มาเล่าเรื่องนี้ในรายการ ‘คุยแซ่บโชว์’ ว่า แม่จากไปในวัย 98 ปี ด้วยโรคมะเร็งปอด โดยม้าบอกว่าที่ผ่านมาได้เตรียมใจกับเรื่องนี้มาตลอด

“ตั้งแต่คุณแม่อายุ 90 ก็เริ่มโอ้โห แม่อยู่นานจัง พออยู่ไปเรื่อยๆ เราก็เตรียมใจอยู่ตลอดเวลา แต่แม่ยังดูแข็งแรงเหลือเกิน สามารถเดินขึ้นบ้านสามชั้นเช้าเย็นได้ เป็นอย่างนี้ประจำทุกวัน ไม่ยอมย้ายมาอยู่ข้างล่าง เราก็โอเค ถ้าแม่ยังแข็งแรงก็เป็นบุญหัวเราที่ได้ดูแลไปได้เรื่อยๆ”

ย้อนกลับไป ตอนทราบว่าคุณแม่เข้ารพ.?

ADVERTISMENT

ม้า : “จริงๆ เราไม่เคยคิดเลยว่าแม่จะต้องเข้ารพ. ตั้งแต่มีชีวิตอยู่มาด้วยกัน เห็นแม่ตอนเด็กๆ แม่เข้ารพ.คือผ่าตัดมดลูก ตอนนั้นแกมีเนื้องอกตรงมดลูก เข้ารพ.อยู่สามวัน แกแข็งแรงมาก ครั้งนี้อยู่ๆ ก็บ่นว่าเท้าบวมจังเลย เราบอกว่าไปหาหมอมั้ย แกบอกว่าไม่เอา จนวันรุ่งขึ้น น้องสาวที่เป็นหลานแก พาไปรพ. พอไปปั๊บ ก็โทรมาบอกว่าแอดมิทเลย ต้องไปอยู่ซีซียู เพราะน้ำท่วมปอด ตอนนั้นรู้สึกนิ่งหมดทุกอย่าง เราก็อยู่กับปัจจุบัน ก็ค่อยๆ แก้ไป เพราะปฎิบัติธรรมอยู่ ก็นำมาใช้กับชีวิตประจำวัน”

 มีความรู้สึกว่าครั้งนี้แม่หนักที่สุดไหม?

ม้า : “ไม่ได้คิด แต่ก่อนหน้าเข้ารพ. แม่ก็ชอบพูด เขาเริ่มบ่น เราไม่ค่อยเห็นแม่บ่นนะ เพราะแม่เป็นคนอึด อดทน แกบอกว่าเบื่อตัวเองจังเลย ทำอะไรก็ช้า แกเป็นคนทำงานตลอดเวลาในชีวิตตั้งแต่สาวยันแก่ ทำห่อหมกยันเฮือกสุดท้าย เป็นคนเจ็บออดๆ แอดๆ ก็จะไม่ค่อยบ่น จนระยะหลังๆ ทำอะไรก็เบื่อ หูก็ไม่ดี ฟังอะไรไม่ดี บอดี้มันเสื่อม แกก็บอกว่าถ้าฉันตายไป จะเสียใจมั้ย เราก็บอกว่าไม่เป็นไร สบายมากเลยแม่ ถึงวาระวันไหน ก็ไปได้เลย เชิญเลยค่ะ ตอนที่ฟังจิตก็ไม่หล่น เพราะแม่อยู่มานานขนาด 98 ดิฉันเตรียมใจตลอดเวลา แม้กระทั่งชีวิตตัวเอง ดิฉันพูดกับหมอว่าตัวดิฉันเองก็เตรียมตัวตายทุกวันอยู่แล้ว เพราะจุดนี้เราเข้าใจทุกอย่าง”

เล่าอีกว่าหนึ่งวันก่อนแม่จะเสียชีวิต ยังบอกว่าอยากกินขนมผักกาด ซึ่งก็ได้นำไปให้ และยังได้คุยกันในเรื่องต่างๆ 

“แกพูดว่าจำรหัสตู้เซฟได้มั้ย ก็บอกว่าจำได้สิ จดไว้ ก็ถามเราว่าใครบอกแก (หัวเราะ) เราบอกว่าก็แม่บอกไง แม่บอกว่าอย่าลืมนะกุญแจ อยู่ตรงนี้ๆ แต่ก่อนหน้านี้ ช่วง 3 ปีที่แล้ว แกเตรียมพร้อมไว้หมดทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเรื่องบ้าน แบงก์ เรื่องที่ทาง แกโอนให้ดิฉันหมดเลย”

เคยพูดคุยกับแม่ ตอนแม่แข็งแรงดี แม่บอกฉันไม่เอานะ จะมีสายระโยงรยางค์ มาเจาะคอ ไม่เอา เราก็บอก ไม่เอาเหมือนกัน ไม่อยากให้ต้องมานั่งทรมาน เจ็บปวด ตอนเข้ารพ.วันแรก พอน้ำท่วมปอด รักษาได้ประมาณนึง ความดันเริ่มดีขึ้น คุณหมอก็ให้ดูอัลตร้าซาวด์ บอกว่าปัญหาอยู่ที่หัวใจ ลิ้นหัวใจสองอันมีปัญหา พอคนอายุมากแล้ว หินปูนมาเกาะเยอะมาก ไม่โฟลว์แล้ว บอกว่าถ้าจะทำต้องสอด แต่ต้องวิเคราะห์หนักมาก แม่อายุ 98 แล้ว หมอบอกถ้าทำอาจอยู่ได้ประมาณปีกว่า มีปัญหาอันนึงคือหมอปอดมา ให้ดูปอดเป็นอย่างนี้ แม่เคยมีปัญหาเกี่ยวกับปอดตอนอายุ 90 หมอบอกไม่เป็นไรหรอก ปล่อยไว้ก่อนแล้วกัน แต่ตอนมาเข้ารพ. จุดนั้นก็ลามไปที่ปอดทั้งสองข้างเลย อยู่ๆ ก็เป็นแบบนี้นะ ก่อนหน้านี้ 3-4 เดือนเช็กร่างกายทุกอย่างก็ไม่เป็นแบบนี้ พอเกิดปัญหานี้ขึ้น หมอยังไม่ได้บอกว่าเป็นเนื้อร้าย เพราะไม่ได้เอามาตรวจอะไร แต่บอกว่าถ้าเป็นเนื้อร้าย รักษาไม่ได้แล้วนะคนอายุขนาดนี้ ให้คีโมไม่ได้

เราก็บอกว่าเราเข้าใจมาก เขาก็ให้ใบนึงมา บอกว่าถ้าจะต้องเปลี่ยนการใส่ออกซิเจน เป็นง้างปากสอดท่อ เรายินยอมมั้ย ก็ไม่ยินยอม เพราะเจ็บ เราเคยผ่าตัด เคยวางยาแล้วสอดท่ออย่างนั้น ตื่นมาพูดกับใครไม่ได้ เจ็บคอเป็นวันเลย ถ้าแม่ดิฉันอายุขนาดนี้คงไม่ไหว ช็อตหัวใจมั้ย ปั๊มมั้ย ก็บอกว่าไม่เจาะคอด้วยนะคะ ไม่ทำใดๆ ทั้งสิ้น ต้องมีน้องสาวเป็นพยาน เขาก็ร้องไห้ บอกว่าขอทำใจก่อน สุดท้ายก็ต้องเซ็นด้วยกันทั้งคู่

เราไม่ปล่อยให้แม่ต้องทรมาน เราเห็นภาพแบบนี้กับพ่อแม่ทุกคน เราไม่เอา ผลสรุปพอคุณแม่เสียไป ดิฉันคุยกับหมอก่อนวันนึงว่าดิฉันคิดถูกหรือคิดผิด หมอบอกว่าคุณยายอายุขนาดนี้แล้ว ไม่เป็นไรครับ หลังจากคุณแม่เสียไป คุณหมอโทรมาบอกว่าคิดถูกแล้วนะครับ ถ้าคุณยายอยู่จะทรมานมากเรื่องปอด เพราะแผลที่ปอดเลือดออก เลือดไปคั่งอยู่ตรงหลอดลม ถึงได้อาเจียนหลังกินข้าวออกมาเป็นเลือด แกก็ช็อก หัวใจก็ค่อยๆ อ่อน แล้วหายไปเลย ถ้าดิฉันไม่เซ็นยินยอมเขาก็ต้องปั๊มขึ้นมา แม่ก็จะมีสายระโยงรยางค์ ซึ่งแม่ปั๊มไม่ได้ แม่แก่แล้ว กระดูกกระเดี้ยวก็จะไม่เหลือสิ”

เธอยังบอกด้วยว่า ภายหลังจึงทราบว่าแม่เป็นมะเร็ง

“พอแผลที่ปอดมีเลือดออกมา หมอบอกว่าเป็นมะเร็ง แล้วอยู่ๆ มาแค่ 3 วันให้เห็น ซึ่งค่าอุปกรณ์ในการช่วยชีวิตแม่จะอยู่ที่ล้านนึง แล้วอยู่ได้แค่ปีกว่าๆ แต่จะอยู่ยังไง ปอดรักษาไม่ได้ อยู่ได้แต่แม่ต้องทรมานเรื่องปอดมาก ต้องเจ็บปวดมาก”

 ช่วงร้องไห้หนักสุดคือช่วงบอกญาติ?

ม้า : “ไม่ได้ร้องไห้หนักมาก แต่วันนึงดิฉันตื่นสาย ต้องดูแลช่วงเย็น ให้น้องสาวดูแลช่วงกลางวัน ตอนสระผมอยู่มีโทรศัพท์เรียกอยู่นั่นแหละ ก็คิดว่าผิดปกติ รีบสระให้เสร็จ พอออกมาโทรกลับไป นางพยาบาลก็เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง ดิฉันไม่ได้ร้องไห้เลยนะ นิ่งมาก ใจบอกเสมอว่าเราเตรียมมาพร้อมหมดทุกอย่าง ไม่มีอะไรค้างคาใจกับการดูแลแม่มาตลอดชีวิต เราให้หมดทุกอย่างเท่าที่ลูกจะดูแลแม่ จนขับรถไป ก็เริ่มต้องโทรศัพท์บอกคนว่าแม่เสียแล้ว

ตอนนั้นที่บอก น้ำตามันมาเอง มันไหลไปเรื่อยๆ ไม่กล้าสะอึกสะอื้นมาก แต่ก็สะอึกสะอื้น โทรหาคนสนิท บอกว่าแม่ไปแล้ว ร้องไห้ไปจนถึงรพ. แต่พอเห็นแม่แต่งตัว นางพยาบาลกำลังจัดการให้ ก็ไม่ได้ร้อง ก็คิดว่าต้องทำอะไร ไปวัดไหน ต้องแจ้งอะไร มีเรื่องแบบนี้มาวุ่นวายเยอะมาก ยุ่งมาก เราอยู่กับปัจจุบัน เข้าใจสัจธรรมแล้ว”

เธอยังเล่าถึงงานที่วัดว่ามีเรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น

“สิ่งที่ไม่คาดฝันทั้งหลาย กับการที่ในชีวิตอยู่ในวงการ รู้จักคนมาหมดทุกคน มากมายก็แล้วแต่ ไม่เคยคิดว่าทุกคนยังรักและระลึกถึงเราอยู่เสมอ วันนี้ได้เห็นอย่างชัดเจนกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต ที่เราคงความดี มีใจที่บริสุทธิ์กับทุกคนมาตลอดเวลา ทุกคนกลับมาหาเราหมด โดยที่เรานึกไม่ถึงเลย เป็นอะไรที่โคตรแห่งความปลาบปลื้มใจ คนที่เคยมีความค้างคาใจ ไม่ว่าจะตอนทำงานช่วงวิกฤตในชีวิตที่ต้องหลุดออกมาจากวงการ ทุกคนก็มาให้กำลังใจ มันเป็นอะไรที่มีความรู้สึกโคตรแห่งความซาบซึ้ง (เสียงสั่น) ทุกครั้งที่คนพวกนี้มา มันอดไม่ได้ที่จะปิติ แล้วน้ำตาแห่งความปิติจะหลั่งไหลออกมาตลอด มันพิสูจน์ให้เห็นว่าสิ่งที่เราทำมาตลอดทั้งชีวิต มันตอบแทนให้เห็นถึงความรักเรา พูดทีไรเรารู้สึกว่าเราดีใจที่สุด (เสียงสั่น น้ำตาคลอ) ไม่รู้จะว่ายังไง ขอบคุณมากจริงๆ”  

มีแขกท่านนึงมา ที่รู้สึกได้ว่าพี่ม้าชื่นใจ ปิติ เห็นแววตาพี่ม้า คือคุณนิด อรพรรณ พี่ม้าเหมือนไม่คิดว่าจะมา?

ม้า : “บอกตามตรงเลยนะ ตั้งแต่ออกจากวงการนี้มา (เสียงสั่นเครือ) เราขอบคุณทุกอย่างที่ให้โอกาส คนที่ให้โอกาสมาตลอด พอวิกฤตที่ออกไป รู้สึกว่าคงจบสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ทุกคนคงค่อยๆ ลืมเลือนดิฉันไป ดิฉันไม่ได้หวังอะไร ว่าจะต้องมาเจอกัน มาร่วมงานกันอีก หรือมาร่วมทุกข์ร่วมสุข หรือโอบอุ้มเราต่อไป ไม่นึกแล้วนะ ปล่อยวางไปเลย ก็ไม่คิดว่าเขายังระลึกและรักเราอยู่เสมอ สิ่งนี้เลยทำให้รู้สึกว่า เราอาจมองผิดไป ดิฉันไม่ใช่ไม่รัก หรือไม่รู้จักบุญคุณนะ บุญคุณนี้นึกถึงเสมอ ต่อให้ใกล้ตายก็ยังนึกถึงบุญคุณกับทุกคนที่หยิบยื่นโอกาสให้ ไม่เคยลืมเลือน แต่ด้วยเหตุการณ์กับจังหวะชีวิตที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน แยกย้ายกันไป ก็ได้แค่ระลึก ไม่นึกว่าจะได้กลับมาเจอะเจอ

ช่วงวิกฤตก็มีอีกคนที่เราไม่นึกเลย คิดว่าเขาคงไม่ชอบดิฉันไปแล้วด้วยซ้ำ ไม่นึกว่าเขาจะมา คือพี่ไก่ วรายุฑ ณ ตอนนั้นดิฉันก็รู้สึกว่าได้หลุดออกไปจากทุกรายการที่ทำอยู่ทั้งหมด คิดว่าทุกคนคงไม่ได้ชอบฉันแล้ว จากเหตุการณ์ที่เกิดในชีวิตตัวเอง ก็ให้มันจบ ไม่เป็นไร ขอบคุณที่เราเคยอยู่ร่วมกัน ให้โอกาสเรามา ก็คิดว่าคงไม่มีแล้ว”

กับอรพรรณ ม้าบอก “ก็มีการพูดคุย บอกว่าพี่จำไว้นะ เรายังรักกันอยู่เสมอ ยังไงก็ไม่ทอดทิ้งกันอยู่แล้ว

ครั้นพิธีกรถามว่าชื่นใจไหม?

เธอบอก “ดิฉันน้ำตาไหลตลอดเวลาเลย”

ส่วนตอนไก่ วรายุฑ  “อันนั้นโฮเลย” เธอเผย

“เพราะไม่นึกว่าจะมา พี่ไก่พูดว่ายังไงฉันก็เป็นเพื่อนเธอ ฉันไม่มาไม่ได้ (เสียงเครือ) พี่ไก่มาวันเผาแม่ด้วย ไม่เคยนึกนะ เพราะเราคิดว่ามันคงจบไปหมดแล้ว นึกออกมั้ย”

อยากบอกอะไรกับพวกเขาบ้าง?

ม้า :  “ขอบคุณที่สุดเลย ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว ตั้งแต่อยู่ เขาก็ให้โอกาส มันอยู่ในใจเรามาตลอดเวลา แม้เราไม่อยู่ เขาก็ยังระลึกถึง ซาบซึ้งใจมากที่สุดแล้วนะ ที่เราทำไว้ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีใครลืมเรา แม้เราไม่อยู่แล้ว ก็ไม่มีใครลืมเรา”

ส่วนเมื่อถามว่าคิดถึงวงการไหม อยากกลับมาวงการบันเทิงหรือไม่

ม้าบอก “ต้องถามกลับ ว่าวงการบันเทิงคิดถึงดิฉันไหม เพราะอาชีพอย่างเรา ต้องรอให้เขาเรียก ดิฉันของานคนไม่เป็นนะ ตั้งแต่อยู่มา แต่ทำเต็มที่สุดความสามารถให้คนเห็น แล้วให้เขาเรียกเราไป ถ้าเขากริ๊งมา 4 ปีแล้วนะ ก็น่าจะไปได้นะ”