‘เป้ อารักษ์’ ในวันที่รางวัลไม่ใช่เป้าหมาย และเหตุผลของการประกาศ ‘ยอมแพ้’

 

‘เป้ อารักษ์’ ในวันที่รางวัลไม่ใช่เป้าหมาย และเหตุผลของการประกาศ ‘ยอมแพ้’

“คำวิจารณ์สำหรับผม มันไม่มีผลอะไรแล้ว”

“ผมอยากเล่นอะไรที่หลากหลาย”

Advertisement

ด้วยเหตุผลนี้ เป้ อารักษ์ อมรศุภศิริ จึงตอบรับเป็น ‘โด’ บุรุษไปรษณีย์ในช่วง IMF ผู้มีภารกิจว่าจะต้องนำส่งจดหมายให้กับป้าข้างบ้าน ในหนังใหม่ ‘POSTMAN ไปรษณีย์ 4 โลก’ ของค่าย M39

จากนั้นเรื่องราวต่างๆก็เกิดขึ้น

‘โด’ ที่เขาสวมบทบาท คือผู้ชายที่มองโลกในแง่ดี ไม่มีความทะเยอทะยานอะไรมาก และแม้จะไม่เคยสมหวังในความรัก หากก็แฮปปี้กับชีวิต และมีความสุขกับหน้าที่คนส่งจดหมาย ซึ่งนอกจากจะชอบใจในจุดนี้แล้ว ยังรู้สึกด้วยว่าตัวเรื่อง “มีความน่าสนใจในคอนเทนต์บางอย่าง”

Advertisement

พอพูดถึง ‘โด’ เป้ก็ว่า เอาเข้าจริงระหว่างเขากับตัวละครเหมือนจะมีจุดเชื่อมกันอยู่

“มีสับเซต (subset) บางอย่างที่เป็นอันเดียวกัน เป็นคนไนซ์ ยิ้มแย้ม มองโลกในแง่ดี ผมสามารถหาบางส่วนของโดมาจากตัวเองได้”

นอกจากงานแสดงเรื่องนี้ เป้บอกยิ้มๆ เขาก็ยังมีอีกหลายเรื่อง ทั้งที่ถ่ายทำเสร็จแล้ว และจะลงโรงให้ชมในช่วงปลายปีนี้ กับเรื่องที่อยู่ระหว่างการถ่าย ซึ่งว่าไปก็รู้สึกว่า “เป็นโชคดีมาก”

เรื่องการรับงาน เป้บอก “เคยมียุคนึง ที่ผมอายุเท่านี้ แต่เล่นหนัง เล่นละครมาเยอะกว่าอายุ เพราะฉะนั้นเท่ากับ 1 ปี ผมไม่ได้ทำแค่ 1 โปรเจ็คต์”

แต่ช่วงหลังๆ ไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว ด้วยตั้งใจว่า “จะทำทีละอัน ไม่อยากให้มันชนกัน ก็พยายามทำให้แต่ละเรื่องออกมาดีที่สุดในความรับผิดชอบฝ่ายเรา ช่วงหลังจะเห็นว่าทรงผมของผมเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เพราะตัดตามคาแร็กเตอร์ รูปร่างก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆเหมือนกัน”

นอกจากงานแสดง อันเป็นงานหลักที่มีคิวยาวไปจนถึงปีหน้า งานเพลงอันเป็นงานอดิเรก เขาก็ยังทำอยู่ โดยเจ้าตัวเล่าแบบยิ้มๆ อารมณ์ดี ว่า “จะออกชุดใหม่แล้ว ‘อกหัก ติดยา หมาตาย’ ครับ ชื่ออัลบั้ม” โดยชุดนี้เขารับหน้าที่หลายอย่าง ทั้งร้อง ทั้งเล่นกีตาร์ เป่าฮาร์โมนิก้า แถมด้วยเล่นแบนโจ อีกอย่าง

เล่าด้วยว่า ความที่ 6 เดือนแรกของปีนี้ เขาค่อนข้างว่าง เพราะงานที่รับไว้เลื่อนคิว ก็เลยเอาเวลาที่มีไปพัฒนาสกิลหลายอย่างให้ตัวเอง

“ก็ฝึก 4 อย่างนี้ทั้งวันทั้งคืน คือดนตรีเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง งานช่างประมาณหนึ่ง งานศิลป์ 10 % ช่าง 90 % มันต้องฝึก มันเป็นสกิล แล้วเราไม่ค่อยมีช่วงเวลาอยู่กับตัวเองทั้งวันทั้งคืน เราก็กลับมาฝึกร้อง ฝึกอะไร หวังว่าอัลบั้มนี้จะทำให้เราน่าจะมีโอกาสอะไรบ้าง”

เมื่อถามความรู้สึกของคนที่หนังเพิ่งจะเข้าโรง และเพลงใหม่ก็ใกล้จะออก เป้บอก “หลายๆ คนอาจจะตื่นเต้น แต่ผมใช้ความคิดนี้มาตลอด เวลาหนัง ก็อยากให้หนังได้เงิน เพราะคำวิจารณ์สำหรับผม มันไม่มีผลอะไรแล้ว หลังๆ ผมไปดูหนัง เขาวิจารณ์ว่าห่วยมาก แต่ผมชอบมาก หลายเรื่องติดกัน ในขณะเรื่องที่เขายกย่อง เชิดชู ผมแบบ…คือคำวิจารณ์ไม่มีผลอะไรกับผม ผมแค่อยากให้หนังได้เงิน”

“ถามว่าตื่นเต้นไหม ก็เชื่อมือคนที่ทำงานด้วยกัน แล้วอยากจะให้เขาได้เงิน สิ่งที่ลุ้นน่าจะเป็นแบบนั้นมากกว่า”

เพื่อจะได้ทำให้ทุกคนมีกำลังใจ

“เอาแค่เรื่องโม้แล้วกัน ถ้าหนังได้เงินมันก็โม้ง่าย แค่นั้นเลย”

“ถ้าจะเอาเรื่องรางวัล ผมว่ามันโม้ไม่ได้แล้วเดี๋ยวนี้ แล้วยิ่งไปรู้เรื่องเบื้องหลังของรางวัล ก็ยิ่งปวดหัวครับ ก็เลยผมไม่สนแล้ว” เป้เผยพลางยิ้ม

และเมื่อรางวัลไม่ใช่เป้าหมาย เป้าประสงค์ของการรับและตั้งใจทำงานสำหรับเขา จึงเป็น “การได้รับบทที่หลากหลายไปเรื่อยๆครับ”

หนึ่งในนั้นคือ ที่มีคนติดต่อมา แต่ว่ายังไม่ได้ข้อสรุป จึงพูดไม่ได้ว่าจะได้เล่นไหม กับอีกบทที่รับแล้ว เล่นแล้ว และแฟนๆ จะได้ชมกันในช่วงปลายปี “ที่ผมใส่เต็มข้อมากๆ”

“คือเปลี่ยนหมดเลย ผมชอบอะไรแบบนั้นครับ แล้วก็โชคดีที่ได้มีโอกาสทำแบบนั้นอยู่”

บอกอีกว่า ช่วงหลังๆ เขายังได้ยินคนมาบอกว่าชอบผลงานหลยเรื่องที่เขาแสดง

“แล้วหนังบางเรื่องมันไม่ได้ดังเลยนะ อย่าง ‘เค้าเรียกผมว่าความรัก’ ตอนนั้นไม่ได้เงินเลย แต่ว่าคนดูแล้วชอบ จากทางไหนก็ตาม แต่ไม่ใช่ทางโรง เราก็แฮปปี้ที่ได้อยู่ในใจเขา เพราะฉะนั้นเราอยากสร้างเงิน อยากเป็นส่วนร่วมในหนังไปเรื่อยๆ ครับ หนังที่อยู่ในใจคน”

เป้ยังบอกด้วยว่า อีกงานที่เขาจะทำต่อไปในอนาคต คือการก้าวไปเป็นคนเบื้องหลัง ด้วยที่ผ่านมาเขาได้ทำเอ็มวีของตัวเองม 8-9 ตัวแล้ว และตอนนี้ “ก็มาโฟกัสเรื่องการทำเบื้องหลังบางอย่าง”

ส่วนจะเป็นอะไร “ยังบอกไม่ได้ครับ”

“ต้องเก็บไว้ก่อน” เขาอุบพลางยิ้ม

*ยอมแพ้ดีกว่า

“ช่วงนี้ไม่มีครับ” คือการรีวิวความรักฉบับสั้น ประสาเป้

“ตั้งแต่เลิกกับแฟนไป ก็ไม่มีอะไรเลย”

ขณะเดียวกัน ณ วันนี้ “ผมไม่ได้มองว่าจะต้องมีครอบครัวแล้ว” เขาบอก ก่อนจะออกตัวปนอาการหัวเราะๆ ว่า

“แต่วันหนึ่งอาจจะกลืนน้ำลายนะ”

“ผมไม่คิดว่าการแต่งงานมันจะเข้ากับผม ผมไม่รู้สึกว่ามันจำเป็นสำหรับผม”

“ด้วยความที่โลกยุคนี้มันเปลี่ยนไป สิ่งรอบตัวหรือความรับผิดชอบมันเยอะขึ้น สมมุติเราอยากมีลูก ความรับผิดชอบก็มหาศาล ไม่ใช่แค่เรื่องค่าใช้จ่ายอย่างเดียว มีเรื่องของเวลาด้วย แล้วในขณะเดียวกัน คนมีครอบครัวแล้วผมก็ได้คุยกับเขา เขาก็บอกว่ามันไม่ใช่สำหรับทุกคน บางคนก็ทำได้ดี บางคนก็ทำไม่ได้ ผมคิดว่าถ้าผมไปตรงนั้นแล้ว ผมน่าจะเหนื่อย ผมไม่อยากเหนื่อย เลยยอมแพ้ดีกว่า”

“คือค่อนข้างอยู่คนเดียวได้แล้ว มันก็เลยสบายครับ”

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image