‘ต้องเต’ วิเคราะห์ความสำเร็จ ‘สัปเหร่อ’ ก่อนตอบชัด งานนี้ ‘ฟลุค’ หรือ ‘เก่ง’

‘ต้องเต’ วิเคราะห์ความสำเร็จ ‘สัปเหร่อ’ ก่อนตอบชัด งานนี้ ‘ฟลุค’ หรือ ‘เก่ง’

ทั้งเขียนบทเอง ทั้งกำกับเอง จน ‘สัปเหร่อ’ ทำรายได้ก้าวเข้าสู่ 225 ล้านบาท ภายในเวลาแค่ 11 วันที่เข้าฉาย แต่กระนั้นก็ไม่วายมีเสียงแว่วว่า ‘น่าจะฟลุค’

ซึ่ง “แล้วแต่มุมมองเลยครับ” ผู้กำกับ ต้องเต ธิติ ศรีนวล บอก

“เราไม่สามารถเปลี่ยนมุมมองเขาได้ แต่ในความรู้สึกเรา บางสิ่งที่เราคาดการณ์หรือคิดไว้แล้ว มันก็มีส่วนที่ผลักดันให้หนังมันไปได้”

Advertisement

แต่ “บางส่วนมันก็เกินคาดจริงๆ ด้วย” เขายอมรับ

“กระแสโซเชียล กระแสปากต่อปาก กระแสนู่น นั่น นี่ บวกกัน ถ้าใช้คำว่าฟลุค มันก็มีส่วนฟลุคนะ แต่จะใช้คำว่าคิดมาแล้วประมาณนึง ก็มีครับ”

ก่อนจะมากำกับหนังเรื่องนี้ต้องเตที่เคยมีผลงานกำกับร่วม สุรศักดิ์ ป้องศร และณัฐวุฒิ แสนยะบุตร ในภาพยนตร์ ‘หมอปลาวาฬ’ บอกว่าเขาต้องผ่านอะไรๆ มาหลายอย่าง

Advertisement

“โห เยอะเลยครับ” เขาว่า

“มันเป็นเรื่องที่เราทำครั้งแรก ทำคนเดียวเกือบทั้งหมด อย่างที่เคยบอกไป ถ้าเจ๊ง เราก็ต้องหายืมตังค์มาคืนเขา ถ้าเจ๊งมาน่าจะโดดเดี่ยวน่าดู เพราะเราดื้อ เราไม่ได้ขอให้คนนั้นคนนี้มาช่วย คือถ้าผิดพลาดก็ผิดพลาดคนเดียวไปเลย”

และแน่นอนว่าในระหว่างที่ทำนั้น “ปัญหามันมาเรื่อยๆ ครับ”

“อยู่ในจุดที่ถ้าเป็นไทบ้านแต่ก่อน…เล่าตามความจริงนะ มันก็อยู่ที่ทำหนังเรื่อยๆ แต่ในยุคนี้มันเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่างแล้ว เวลาเรามาทำมันมีปัญหาหลายอย่าง มันจะไม่เหมือนเดิมเลย ทำให้เรางานหนักกว่าปกติ”

เล่าด้วยว่าก่อนหน้าจะเข้าโรง เขาไม่นึกจริงๆ ว่าจะได้รับการตอบรับขนาดนี้ เพราะในความคิดของเขา “มันเป็นตัวเรามากไป”

“ทีมงานจะถามว่าผู้กำกับคิดว่าหนังโอเคไหม หนังมันจะดีไหม เราตอบแค่ว่า แค่มีคนมาดูแล้วชื่นชมมุมมองของเรา ก็โอเคแล้ว เพราะหนังเรื่องนี้มันค่อนข้างเป็นตัวผมมากไป ยังบอกเลยว่าหนังน่าจะไม่ได้ยอดขนาดนั้นหรอก เพราะมันเป็นตัวเรามากไป บอกทุกคนแบบนั้น”

การทำหนังเรื่องนี้ต้องเตบอกว่าในความคิดเขา คือความตั้งใจ “เล่าความอีสานในตัวเรา แล้วก็พวกความเชื่อ ประเพณี พิธีกรรม เราพยายามหยิบเรื่องพวกนี้มาเล่า แล้วมีคนชอบ คนไม่เข้าใจบ้าง แต่เรื่องนี้มันประสบความสำเร็จโดยที่บางคนอาจจะไม่เข้าใจนะ แต่เขาก็ไปหาข้อมูลเอง ทำความเข้าใจเอง เราเลยรู้สึกว่า เฮ้ย! เรายังอยากเล่ามุมมองอีสานอีกเยอะเลย ยังมีอีกเยอะ”

“คนส่วนใหญ่ทำหนังแล้วยอดมันไป มันโอเค เขาอาจจะอยากพัก แต่ผมรู้สึกอยากเขียนบท เหมือนมันมีไฟ”

“ตอนนี้มันเป็นอีสานแมสแล้ว แต่ก่อนหนังไทบ้านคือฉายความเป็นไทบ้านให้คนอีสานดู แต่ในกระแสมันไม่ใช่แค่หนังอีสานแล้วครับ มันเป็นหนังที่คนเข้าใจความเป็นอีสาน คนภาคอื่นเข้าใจอีสานอย่างงั้นอย่างนี้เยอะขึ้น”

“พื้นฐานของผมคือการไม่โกหกคนดู พยายามจริงใจกับคนดูตลอด จริงใจให้ได้มากที่สุด งานอาจจะไม่ได้ดีมากหรอก แต่เราอยากเล่ามุมมองที่มันจริงใจมากขึ้น เขาก็น่าจะรับในส่วนของตรงนี้ เขาอาจจะไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่างานมันดีหรือไม่ดี แต่เขาแค่ชอบความจริงใจของงานชิ้นนี้”

การที่มีคนยกว่า นี่เป็นหนังที่ควรจะเป็นที่สุด

“ดีใจครับ” ต้องเตบอก ก่อนออกตัว “แต่ก็มันน่าจะมีปัจจัยหลายๆ อย่าง ถูกช่วงด้วย ที่คนดิ้นรนเยอะขึ้น คนผ่านอุปสรรค ผ่านกระแสโควิด ผ่านนั่นนี่มา ทำให้คนเหมือนไม่รู้ว่าชีวิตจะไปต่อยังไง แล้วหนังเรื่องนี้กลับมาเล่าความธรรมดาผ่านความตาย ความสูญเสียที่ทุกคนต้องเจอ แล้วพอหนังออกมา มันรู้สึกว่าคิดถึงใครบางคนที่จากเราไป เลยทำให้อาจจะโดนใจเขา อาจจะดูแล้วรู้สึกว่าคิดถึงใครสักคน ฉันเหนื่อย ฉันท้อในจุดนี้ แต่ฉันก็คิดถึงคนคนนี้ อยากสู้เพื่อคนคนนี้”

สำหรับเขาเองก็ต้องสู้เหมือนกัน ต้องเตบอกพลางหัวเราะ

เพราะ “เรื่องนี้กระแสมันมาขนาดนี้ เรื่องต่อไปเราก็ต้องพัฒนาขึ้นอีก เรียนรู้ขึ้นอีก”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image