‘ถ้าย้อนกลับไปได้’ ความในใจของ มะตูม เตชินทร์

 

‘ถ้าย้อนกลับไปได้’ ความในใจของมะตูม

“เอาจริงๆ นะครับ ถ้าถามตูมประโยคนี้เมื่อปีที่แล้ว ตูมตอบได้เยอะมาก” เตชินทร์ พลอยเพชร ที่ใครๆรู้จักกันมากกว่าในนาม ‘ดีเจมะตูม’ ตอบอย่างนั้น เมื่อช่วงหนึ่งของการสนทนาพามาถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เขาเคยเจอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของงาน ที่เคยทำมาแล้วทั้งดีเจ พิธีกร นักแสดง นายแบบ รวมไปถึงธุรกิจส่วนตัวอื่นๆ และแน่นอน รวมไปถึงเรื่อง ที่เคยตกเป็นข่าวใหญ่ โดนวิพากษ์วิจารณ์หนัก ฯลฯ แล้วเราก็ตั้งคำถาม ‘ถ้าย้อนกลับไปได้’?

จากนั้นบอกต่อว่า

Advertisement

“แต่ในวันนี้ ไม่ครับ…อย่าเสียเวลาไปย้อนคิดว่าเราควรจะแก้อะไร แต่ควรใช้เวลา ณ ปัจจุบันคิดว่าเราจะสร้างอะไรดีกว่า”

มะตูมพูดเรื่องนี้ด้วยท่าทีจริงจังอีกว่า  “ตูมไม่อยากย้อนไปคิด ว่าตูมทำอะไรไว้ แล้วอยากจะย้อนไปแก้ตลอดเวลา นั่นตูมจมอยู่กับอดีต วันนี้ตูมคิดอยู่ว่าตูมจะทำอะไรเพื่อเป็นประโยชน์กับสังคม กับคนอื่นมากที่สุด”

ฟังแล้วอดถามไม่ได้ว่าในห้วง 1 ปีที่เวลาผลัดเปลี่ยนเกิดอะไร ที่ส่งผลให้ความคิด ‘เมื่อปีที่แล้ว’ ต่างไป ไม่เหมือนกับ ‘ปีนี้’ ซึ่งมะตูมอุทาน “โห…” มาอย่างยาวๆ แล้วจึงว่า “มันเกิดเหตุการณ์เยอะแยะมากมาย มันควรคิดได้ครับ”

Advertisement


บอกด้วยว่า ที่เขาพูดไป “หลายคนอาจมองว่าทำไมเวลาออกมาพูด ดูดีจังเลย เฟคหรือเปล่า คุณครับ สิ่งที่ตูมเจอในปี 2021 ถ้ายังคิดไม่ได้นี่ ตูมคือประหลาดแล้วนะครับ สังคมสอนตูนขนาดนั้น ให้บทเรียนราคาแพงขนาดนั้น”

อย่างนั้น ถ้าคำถามนี้เกิดในปี 2022 ล่ะ?

“ก็จะตอบว่าจะไม่อย่างนั้น จะไม่อย่างนี้”

เพราะ “ณ ตอนนั้นมันคงหาข้อบกพร่องอยู่ แต่ ณ วันนี้ ไม่มีประโยชน์กับการหาข้อบกพร่องครับ มันมีประโยชน์มากถ้าเราจะยอมรับข้อบกพร่องตัวเอง ให้อภัยตัวเอง แล้วไปต่อ”
“วันนี้ตูมขอไปต่อ”


ในวัย 33 ปี มะตูมที่ทำอะไรมาแล้วหลายอย่างแบบทุ่มสุดตัว บอกว่ายังมีแผนที่ ‘อยากทำ’ หนึ่งในนั้นก็คือการเป็นนายแบบ ที่เจ้าตัวบอกว่า “เป็นบทเรียนใหม่ บทบาทใหม่” ที่อยากเรียนรู้

“โลกใบนี้มันเหมือนมหา’ลัยอ่ะ ตูมเพิ่งไปเรียนคอร์สนายแบบมา มันก็มีคอร์สนักร้องที่ยังไม่เคย มีเบื้องหลัง โปรดิวเซอร์ ตูมอยากทำมากเลยนะครับ อะไรที่มันชาเลชนจ์ตัวเอง อยากลองลงเรียน เพราะว่าการลงเรียนพวกนี้ ก็เหมือนเป็นการสร้างประสบการณ์ให้กับเราไปในตัว”

ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้เรียนไปงั้นๆ แต่คาดหวังให้สอบได้เกรดดี

“ตูมเป็นคนตะกละความสำเร็จ” คือเหตุผล

“อาจจะเป็นเพราะเติบโตมาแบบติดลบมั้งครับ” มะตูมเล่าความในใจ


“หมายถึงจะชายก็ไม่ใช่ จะหญิงก็ไม่ใช่ เวลาอยู่ในครอบครัว คุณพ่อ คุณแม่ เป็นนักร้อง พี่สาวก็ร้องเพลงได้ ทุกคนจะได้รับเครดิตที่ดี แต่ตูมขึ้นเวทีจับไมค์ปุ๊บ พ่อแม่พูดว่าลงไป ร้องไม่เพราะ คือเขารักตูมแหละ แต่ตูมเป็นตุ๊ดตั้งแต่เด็ก ตูมไม่ได้แอ๊บ แล้วย้อนไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ไม่มีซีรีส์วายนะ ตูมเติบโตมาในสังคมที่ LGBT ถูกตีตราว่าถ้าเข้าวงการบันเทิงเป็นได้แค่ช่างแต่งหน้า พอมันไม่ได้รับเกียรติขนาดนั้น เวลาตูมได้รับโอกาสในการพิสูจน์ความสามารถและความพยายามของตัวเอง ตูมจะเต็มที่เสมอ เพราะตูมจะรู้สึกว่าตูมไม่มีโอกาสที่สอง มีแค่โอกาสเดียว มันเลยกลายเป็นว่าเราโหยหา ต้องการที่สำเร็จ ใครจะด่าว่าตูมสนิท แล้วไง ตีสนิท กูได้อีเวนต์ ไม่สนใจ อะไรอย่างนี้ครับ”

“แต่เวลาเรากำอะไรไว้นานๆ พอคลายออกแล้วเลือดเต็มมือเลยอ่ะ มันหนัก มันแน่น มันแรงไปหมด ตูมมาคิดได้ตอนบวช ว่าเราไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นดาราที่ดังที่สุด ที่รวยที่สุด เด่นที่สุด ดีที่สุด ไอ้คำว่าที่สุดนี่แหละทำให้ชีวิตเราฉิบหาย”

“วันที่เราประสบความสำเร็จที่สุดในวงการบันเทิง นั่นคือวันที่เราตกต่ำที่สุดในชีวิตส่วนตัว ตูมก็เลยต้องบาลานซ์ทุกอย่างใหม่”

ในเมื่อไม่ได้ต้องการดังที่สุด มีชื่อเสียงที่สุด แล้ว ในวันนี้ที่มะตูม เตชินทร์ พลอยเพชร ต้องการคืออะไร?
มะตูมบอก ในความคิดของหลายคนอาจจะบอกต้องการ “มีความสุขที่สุด”

“แต่ของตูมไม่ใช่ครับ ตูมไม่ได้อยากมีความสุขที่สุด แต่ตูมอยากเข้าใจที่สุดมากกว่า ความเข้าใจนี่แหละทำให้มนุษย์มีความสุข จริงๆนะครับ”

“ถ้าเราเข้าใจตัวเอง ว่าเราเป็นได้แค่ไหน ทำอะไรได้แค่ไหน เข้าใจคนอื่นว่าเขามองเราได้แค่ไหน แล้วเราดีอยู่ในสายตาเขาได้มากแค่ไหน ถ้าเราเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง มันจะทำให้เราอยู่ที่ไหนก็ได้ ขึ้นก็จะไม่ลน ลงก็จะไม่ท้อ”

แค่นั้นก็พอแล้วจริงๆ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image