บุคลิกสนุกสนาน มั่นใจ เป็นตัวของตัวเอง ทำให้เจมส์ ฟอเกอร์ลุนด์ หรือคุ้นเคยกันในชื่อรัศมีแข ฟ้าเกื้อล้น นักแสดงช่องจีเอ็มเอ็ม 25 โด่งดังขึ้นเรื่อยๆ ทว่านอกจากภาพลักษณ์ภายนอกที่โดดเด่น ตัวตนข้างในของเขาก็น่าสนใจไม่น้อย โดยเฉพาะในเรื่อง ‘ความรัก’
“ตอนนี้ความรักแฮปปี้ วันที่ 19 ก.พ. ก็จะครบ 10 ปีพอดี” ลูกครึ่งไทย-อเมริกัน วัย 30 ปี บอกยิ้มๆ ถึงความสัมพันธ์กับแฟนหนุ่ม
โดยรัศมีแขนั้นเป็นคนให้ความสำคัญกับความรักเป็นลำดับต้นๆ ของชีวิต เพราะตั้งแต่ 5 ขวบ แม่ได้ย้ายไปอยู่สวีเดนกับครอบครัวใหม่ แถมพี่เลี้ยงที่แม่จ้างไว้ดูแลก็ทำร้ายร่างกาย ทั้งต่อย ทุบ กระทั่งเอาหัวเข็มขัดฟาดกลางศีรษะจนเลือดไหลก็เคย ทำให้เขาโหยหาความรักความอบอุ่นจากแม่เป็นที่สุด
ทว่าพอ 10 ขวบได้ไปอยู่กับแม่ที่สวีเดนก็เกิดทะเลาะกันทุกวัน และเมื่อถูกท้าทุกครั้งว่าแน่จริงให้ออกจากบ้านไป เขาจึงตัดสินใจไปใช้ชีวิตด้วยตัวเอง
ดังนั้น พอได้พบรักกับ Jonas Palmberg แฟนคนแรกและคนเดียววัย 44 เลยทุ่มเทสุดๆ
“เราเจอกันในผับแล้วก็คุยกันทางโซเชียล จนถึงวันเกิดเค้า แขเอาเค้กไปเซอร์ไพรส์ แล้วเขาก็ขอคบเป็นแฟนในวันนั้นจนตอนนี้” รัศมีแขว่ายิ้มๆ
และบอก “ช่วงแรกทรมานหน่อย เพราะต้องปรับกันเยอะ และเขาก็เจ้าชู้นะ ก็คิดเลยว่าเราจะใช้ชีวิตยังไงต่อดี เพราะตอนนั้นเราเลือกที่จะตาต่อตาฟันต่อฟัน วีนเหวี่ยงทุกอย่าง จะให้เราปิดหูปิดตาไปเลยก็ไม่สบายใจอยู่ดี จนเราคิดว่า เออ! เราก็ต้องรับ เปิดหูเปิดตาแต่ว่าเรามีสติ”
ขณะเดียวกัน “ต้องใช้หลักความเข้าใจ”
“พวกเราก็คือมนุษย์คนหนึ่ง เขาชอบอีกอย่าง เราก็ชอบอีกอย่างหนึ่ง มันร้อยพ่อพันแม่มาเจอกัน ด้วยนิสัยต่างๆ ปรับกันให้มากที่สุด เข้าใจกันให้มากที่สุด มันก็ขึ้นอยู่กับคน 2 คนทนกันได้แค่ไหน ทนนิสัยที่ต่างกันของอีกคนได้แค่ไหน เมื่อมันปรับแล้วก็คลิกเมื่อเคมีมันตรงกัน”
“อย่างคู่แข ก็ไม่ได้เคมีตรงกันตั้งแต่แรก ก็ถือว่าโชคดีของเรา พอมันตรงกันแล้ว เข้าใจทุกอย่างแล้วก็รักษามันไว้”
ดังนั้น ต่อให้อยู่กันคนละประเทศเช่นตอนนี้ รัศมีแขก็ว่าอย่างมั่นใจ “ความหวานไม่ลดน้อยลงเลย ระยะทางทำอะไรเราไม่ได้”
เพราะแม้ปีที่ผ่านมาจะไม่ได้เจอกัน ด้วยงานรัดตัวจนกลัวแฟนหนุ่มมาเมืองไทยแล้วจะดูแลไม่ดี แต่ทั้งคู่ติดต่อบอกรักผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์กทุกวัน ส่วนเรื่องหึงหวงที่หนีไม่พ้น พวกเขาก็จะไม่นำมาเป็นพลังงานด้านลบให้รู้สึกแย่
“แต่ปีนี้เขาจะมานะ ช่วงพฤษภาคม” รัศมีแขบอกพลางยิ้ม
“ปีที่แล้วงานเราค่อนข้างเยอะ เราก็บอกยูไม่ต้องมาก็ได้ ให้เขาไปเที่ยวกับเพื่อนให้เต็มที่ เขาไปนิวยอร์ก ไปสเปน ไปบราซิล เขาไปเยอะมาก ก็ให้ไปของเขาให้เต็มที่ ปีนี้เขามาก็จะมีเพื่อนเขา เราก็โอเค ยูก็อยู่กับเพื่อนไป แล้วพอเรามีเวลาช่วงไหนก็ไปเจอกัน”
ที่สำคัญ “มาปีนี้คงไปดูแหวน”
“เพราะว่าเขาก็ขอหมั้นแล้ว ตอนนั้นจะกลับเมืองไทย จะซื้อแหวนแล้วก็ไม่ทัน แล้วก็แบบเป็นคนเปิ๊บๆ ป๊าบๆ ก็กลัวว่าได้แหวนหมั้นมาแล้วทำหาย แต่ยังไงปีนี้หมั้นแน่นอน แล้วถ้าปีนี้มีเวลาว่างก็จะกลับไปจดทะเบียนที่สวีเดน แต่ที่นู้นคงไม่จัดงานอะไร ดูเพื่อนๆ ทางนี้อีกที เพราะหลายคนบอกจัดสิๆ อาจจะจัดงานเล็กๆ”
ส่วนเรื่องทายาท “คงไม่มี ไม่ไหว ไม่อยากมีภาระ”
“แค่เลี้ยงหลานคนหนึ่งเรารู้สึกว่าเรารักมาก รักจนรู้สึกว่ากลัวมีลูกของตัวเอง ไม่เอาดีกว่า คิดไปไกลมาก วันหนึ่งลูกจะอยู่ยังไงถ้าไม่มีเรา ไม่อยากมีห่วง ในเมื่อเราเกิดมาเป็นเพศที่สาม มีลูกไม่ได้ ก็เป็นยังงี้ไปแล้วกัน”
โดยหลานที่ว่าถึง คือลูกของพี่สาวที่ป่วยเป็นดาวน์ซินโดรม ซึ่งครั้งแรกคลอดทำเอาคนเป็นน้าเครียดมากว่าจะทำอย่างไรดี กระทั่งหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้จึงเข้าใจและตั้งหน้าตั้งตาช่วยเลี้ยง พร้อมตั้งปณิธานว่า ไม่ว่าปัญหาดาหน้ามาแค่ไหนก็จะแก้ให้ผ่านพ้นไป
เช่นเดียวกับเรื่องความรัก “อย่างแรกก็ต้องตั้งสติก่อน”
“ถ้ามีปัญหากัน อยากเลิกหรืออะไรมันเป็นแค่อีโก้ของตัวเองหรือเปล่า บางทีความรักไม่ได้ว่าเอาชนะกัน ตั้งสติดีๆ บางทีก็ต้องคิดว่าคุ้มไหม บางทีบางเรื่องเนื้อในอาจจะไม่มีอะไรเลย เราแค่เพียงต้องการให้เรารู้สึกว่าเราเป็นผู้ชนะ”
“ถ้าเราสามารถลดอีโก้ของเราได้เมื่อไหร่ ไม่จำเป็นว่าต้องคนรักก็ได้ เราจะอยู่ได้กับทุกคน”
และอย่าลืมเชื่อใจกันให้มากๆ
“อย่างแฟนแข เขารู้ว่าเรามาทำอะไร แขรู้ตัวว่าเรามาทำอะไร เรื่องที่เกิดขึ้นคือเรามาแล้วมีชีวิตแบบนี้ หน้าที่การงานต่าง เป็นโอกาสที่หลายคนอยากได้ เพราะฉะนั้นเขาก็ซัพพอร์ตเต็มที่”
เป็นความรัก 10 ปีที่ไม่ใช่ตำนาน แต่หมุนไปตามโลกแห่งความเป็นจริง
