‘หนุ่ม คงกระพัน’ อ่านประวัติส่ง ‘เมฆ’ ครั้งสุดท้าย เผยมองหลังโลงทุกคืน รู้สึกได้ว่าห่วงกัน

‘หนุ่ม คงกระพัน’ อ่านประวัติส่ง ‘เมฆ’ ครั้งสุดท้าย เผยมองหลังโลงทุกคืน รู้สึกได้ว่าห่วงกัน

เมื่อวันที่ 25 มีนาคม ที่วัดศิริพงษ์ธรรมนิมิต ในงานบำเพ็ญกุศลและสวดอภิธรรมศพ เมฆ วินัย หรือหัฒศนัยไกรบุตร อดีตพระเอกชื่อดังที่เสียชีวิตเมื่อวันที่ 20 มีนาคมที่ผ่านมา จากภาวะความดันตก ติดเชื้อในกระแสเลือด กระทั่งหัวใจหยุดเต้น สิริอายุ 54 ปี

ทั้งนี้ ได้มีเพื่อนพ้องมาร่วมอาลัยรักเป็นครั้งสุดท้ายอย่างเนืองแน่น ทั้งกลุ่มชาวบ้านบ้านบางระจัน จากจังหวัด สิงห์บุรี, กลุ่มรวมพลคนรักวิ่ง รวมถึงคนในวงการบันเทิง อาทิ หนุ่ม คงกะพัน แสงสุริยะ, ไทด์ เอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์, โดโด้ ยุทธพิชัย ชาญเลขา, เต๋า สมชาย เข็มกลัด, เก่ง ธชย ประทุมวรรณ, ตั๊ก บริบูรณ์ จันทร์เรือง, ไก่ วรายุฑ มิลินทจินดา, ยิ่งยง ยอดบัวงาม ฯลฯ มาร่วมวางดอกไม้จันทน์

โดย หนุ่ม คงกระพัน ได้เปิดใจกับสื่อมวลชนว่า

วันนี้ส่งเพื่อนเป็นครั้งสุดท้ายและรับหน้าที่เป็นคนอ่านประวัติด้วย ?

ADVERTISMENT

“ก็เตรียมตัวมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว จะพยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด แต่มันผ่านเวลาหลายวันแล้ว เชื่อว่าทั้งครอบครัวและทุกๆ คน คงเริ่มทำใจได้แล้ว แม้แต่ตัวเราเอง ก็รู้สึกผ่อนคลาย และคิดว่าพี่เมฆทำดีที่สุดแล้ว ไม่ต้องห่วงอะไร พอมีข่าวออกไปว่าทุกคนจะช่วยผลักดันลูกพี่เมฆ เราก็ดีใจกับครอบครัวเขา ส่วนของเราก็ไม่ต้องพูดอยู่แล้วล่ะ มันก็ดูแลกันไปเหมือนครอบครัวอยู่แล้ว วันนี้ก็เป็นวันที่มาส่งเป็นครั้งสุดท้าย ก็พูดกันในครอบครัว ว่าหลังจากพรุ่งนี้ไป ที่บ้านก็คงจะเงียบเหงาเล็กน้อย ก็โชคดีที่บ้านเขามีพี่น้องเยอะ ถ้ามองในแง่บวก เอ๋ก็จะเหนื่อยน้อยลง เพราะคนป่วยไม่อยู่แล้ว ทุกๆ วันเขาต้องดูแลและทำหน้าที่แม่ด้วย ทำงานด้วย รับส่งลูกด้วย พอคนป่วยไม่อยู่ ภาระหนักๆ อย่างหนึ่งมันก็หายไป เหลือแต่ทำงานกับดูแลลูกๆ ให้ดี ก็ให้กำลังใจเขาตลอด ต้องทำหน้าที่เป็นหัวหน้าแล้วตอนนี้ เอ๋เขาก็เป็นคนเข้มแข็งอยู่แล้ว”

มีศิลปินเพิ่มเติมไหมสำหรับวันพรุ่งนี้ ?

“จริงๆ ก็มีนะ แต่เราก็ไม่กล้ารับปากว่าจะได้ขึ้นหรือเปล่า ที่เห็นในโปสเตอร์เยอะมาก จนตอนนี้เราให้ศิลปินขึ้นคนละ 2 เพลง ซึ่งตอนนี้ก็จะร้อย ทุกคนพอได้ข่าวพี่เมฆ เขาก็อยากจะมาร่วมงาน พอมาแล้วจะไม่ให้เขาขึ้นเราก็เกรงใจ แต่ก็กลัวจะไม่มีพื้นที่ กลายเป็นว่าคนที่เขาตอบรับมาก่อนจะลำบาก เพราะต้องมารอ หรือเลทเวลาเขา ผมก็กังวลเรื่องนี้ เลยยังไม่กล้าใส่อะไรเข้าไปเพิ่มเติม อะไรจะเกิดขึ้นเดี๋ยวเราดูหน้างาน ศิลปินที่มาทุกคนมาด้วยใจ ไม่มีค่าตัว เพราะฉะนั้นทุกคนมีงาน เราก็ต้องรีบจัดคิว รวมๆ แล้วก็ประมาณ 40 ชีวิตบวกลบ โต๊ะตอนนี้เต็มหมดแล้ว เพราะเรามีจำนวนจำกัดจริงๆ เพราะทางโรงเบียร์เขากำหนดมา แต่จริงๆ ปริมาณของคนที่โรงเบียร์ ก็เข้าได้อยู่แล้ว มาหน้างานก็จ่าย 300 บาทแล้วเข้ามาดูได้เลย”

หลังเสียชีวิตมีทั้งกระแสบวก และลบไปถึง อ.ไพศาล เราอยากพูดอะไรไหม?

“จริงๆ ทุกคนทำเต็มที่ให้พี่เมฆ แม้แต่ตัวผมเองหรืออาจารย์ไพศาล เขาก็พยายามที่จะทำให้เต็มที่ตามกำลังความสามารถของเขาแล้ว แล้วเงินทองเขาก็ไม่ได้เรียกร้องอะไร เขาช่วยคนแบบนี้มา 40 ปีแล้ว เราก็พยายามบอกคนดูทุกครั้ง ว่าเราทดลองไปด้วยกันนะ เรียนรู้ไปด้วยกัน ผมก็ไม่มีความรู้พอจะบอกได้ว่าชีวิตมนุษย์ การเวียนว่ายตายเกิดเป็นยังไง คนเราชาตินี้ชาติที่แล้วเป็นยังไง เราไม่มีความรู้พอที่จะบอกได้ ก็อยากให้คนดูเรียนรู้ไปด้วยกัน ตอนนี้หายหรือเปล่าไม่รู้ แต่อย่างน้อยมันสร้างกำลังใจ การไปขออโหสิกรรม ทำบุญไหว้พระ มันเป็นอะไรที่ดีอยู่แล้ว เงินทองก็ไม่ต้องเสีย ไม่ต้องกินยาเหมือนทุกครั้งที่พี่เมฆจะลองการรักษาใหม่ๆ ที่ไม่ใช่ทางวิทยาศาสตร์ แต่ทางวิทยาศาสตร์เราก็ทำควบคู่ตลอด แต่ก่อนหน้านี้ที่เขาทดลองอะไรที่มันอาจจะไม่ใช่ทางคุณหมอ ก็จะต้องเป็นเรื่องของการกิน การฉีด การทา วุ่นวายไปหมด แต่อันนี้มันไม่มีอย่างนั้น เราก็มองว่ามันเป็นอะไรที่ปลอดภัย และเสริมสร้างกำลังใจ ทุกคนก็ทำหน้าที่เต็มที่แล้ว ก็ยังดีใจว่ากลับมาเขาก็ดูดีอยู่แป๊บหนึ่งนะ ไปวิ่งกลางแดด ผมก็ดีใจ”

“แต่หลังจากนั้นไม่กี่อาทิตย์ก็ทรุดด้วยอาการอะไรก็ไม่ทราบ กะทันหันเหลือเกิน ทำใจไม่ได้เหมือนกัน ทุกคนทำหน้าที่ดีที่สุดแล้ว อย่าไปดราม่าอะไรกันเลย ทุกคนพยายามทำให้พี่เมฆด้วยใจทุกฝ่าย แม้แต่ที่ผ่านมาที่ส่งความช่วยเหลือเยอะมาก บางทีพี่ไม่ปฏิเสธ ไม่ตอบรับ ก็โกรธว่าใหญ่เลย ด่าว่าก็มี ไม่เชื่อผมพี่เมฆตาย ไม่มีใครอยากให้เขาตายหรอก อยากให้เขาหาย อยู่ที่เคารพการตัดสินใจของผู้ป่วยว่าเขาจะเลือกแบบไหน เขาทดลองมาแล้ว เขาเคยพลาดเห่อขึ้นเกือบตายมาหลายรอบ เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องปกติที่เขากลัวจะเอาอะไรเข้าไปในร่างกาย

เขาก็มีสิทธิที่จะเลือกวิธีของเขา สุดท้ายแล้วมันเป็นเรื่องของโรคที่รักษาไม่หาย เราก็ไม่รู้จะทำยังไง พี่เมฆอาการเหมือนรถไฟเหาะ เดี๋ยวดี เดี๋ยวไม่ดี วนอยู่แบบนี้หลายครั้ง ผมก็ได้แต่ย้อนกลับไปดูภาพเก่าๆ ซึ่งก็มีช่วงนี้ดีเหมือนจะหาย แป๊ปเดียวก็กลับไปหนัก แต่ก่อนที่เขาจะเสีย ตุ่มก็เหมือนจะหายแล้วนะ โรคที่เขาเป็นอยู่ลดยาแล้วตุ่มก็ไม่ขึ้น ปกติถ้าลดยามันจะระเบิดออกมาเลย หลังๆ ตุ่มแทบไม่ขึ้นเลย ยาก็ทานน้อยมาก เขามาความดันตกแล้วก็ขาดเลือด ไม่แน่ใจว่าเสียชีวิตด้วยการติดเชื้อในกระแสเลือดหรือเปล่า

ถ้าได้ยินจากภรรยาเขาเล่า เขาฝานลูกขาจนไม่เหลือผิวหนังเลย ซึ่งกินสเตียรอยด์มาหลายปี ผิวเขาบางมาก พอเขาถูแรงๆ จนมันลอกไปหมด ก็เลยยาก ทรุดฮวบเลย ขาดเกลือแร่ ขาดเลือด แล้วหัวใจก็หยุดเต้นในที่สุด ทุกคนพยายามเต็มที่แล้ว วันนี้เราก็มาส่งเขาเป็นครั้งสุดท้าย เราก็ได้เห็นแล้วว่าคนรักเขามากแค่ไหน คนที่ไม่ได้เป็นครอบครัว ไม่ได้เป็นเพื่อนสนิท แต่ก็ส่งความช่วยเหลือผ่านผมมาเยอะ น่าชื่นใจแทนเขามาก วินัย ไกรบุตร เป็นคนที่คนรัก ชื่อเสียงดี ทำงานใครก็ชื่นชม วินัยสมชื่อจริงๆ”

หลังเมฆจากไปได้คุยกับ อ.ไพศาลไหม?

“มีโทรไปคุยก่อนพี่เมฆเสียไม่กี่นาที เขาบอกว่าเหมือนจะหมดบุญ ให้รีบทำเท่าที่ทำได้ ปล่อยปลา ทำบุญแล้วนึกถึงเขา น้องสาวเขาก็ไปจัดการ หลังจากพี่เมฆเสียก็ยังไม่ได้โทรไป ก็เห็นที่นักข่าวไปสัมภาษณ์ หลังๆ แกจะปิดมือถือส่วนตัว คนไปหาแกเยอะ ก็ติดต่อแกไม่ได้ ต้องติดต่อผ่านเลขาฯผู้ช่วย”

หลายคนบอกเมฆไปหา ผิวพรรณดี หล่อเหลา ?

“ก็รู้สึกดีว่าเขาไปสบาย อย่างน้อยเขาก็สบายกว่าตอนอยู่ แล้วพี่เขาพูดกับ อ.ไพศาล ว่ารู้อย่างนี้มาตั้งนานแล้ว ของผมเขาไม่มีมาหา เขาไปหาทุกคนเท่าที่ฟังข่าว เขารู้ว่าผมเป็นคนกลัวผี เขาเลยไม่มา ผมก็พยายามนั่งมองนะเวลากลางคืน คนกลับไปหมดแล้ว มองหลังโลงบ้างอะไรบ้าง แต่เราก็รู้สึกได้ด้วยใจอยู่แล้วว่าเป็นห่วงกัน อยากให้เขาไปสบายที่สุด ไปดีแบบไม่ต้องห่วง ตามความเชื่อของเรา คนพุทธเป็นห่วงที่สุด คือ ลูก ลูกเขายังเล็ก ผมพยายามบอกกับเขาเสมอหลังจากที่เขาเสียไปหลายวัน พูดทุกวันคำเดิม ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ทำดีที่สุดแล้ว ไปให้สบาย หลับให้สบาย ไม่ต้องกังวลทางนี้ เรื่องตรงนี้จบไปแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว ผมเองก็ต้องตั้งสติ ทำงานไป”