เมาธ์ฉ่ำ ‘ตั๊ก ศิริพร’ เปิดปากแฉเรื่องราวเด็ด ‘ฮาย-สุ’ พร้อมสาเหตุแยกห้องกับสามี
เป็นตัวแม่ที่ไม่เคยทำให้ผิดหวัง สำหรับ ตั๊ก ศิริพร ที่เรียกว่ารันมาทุกวงการตั้งแต่การเป็นนางงาม นักร้อง ตลก คอมเมนต์เตเตอร์ เรียกว่าครบเครื่องจริงๆ โดยล่าสุดมาเล่าวีรกรรมสมัยเด็ก เมาท์หมดไม่สนลูกใคร ในรายการ เมาท์อยู่กับปากอยากอยู่กับคิ้ม กับพิธีกร เจนนิเฟอร์ คิ้ม แบบจัดเต็
ตั้งแต่เด็กๆคุณแม่หวงมากใช่ไหม?
“ใช่ๆ เพราะแม่เขาไปนั่งเฝ้าหนูทุกวัน ตอนเด็กหนูรู้ตัวเลยว่าชอบการร้องรำทำเพลงตั้งแต่เด็กๆ”
แต่เห็นลงภาพประกวดนางงาม?
“ชอบร้องรำทำเพลง ชอบการแสดง นางงามก็เหมือนเป็นอีกหนึ่งงานในวงการบันเทิงนะ มันก็เหมือนกันนะ”
ตอนที่ประกวดนางงามอายุเท่าไหร่?
“ตอนนั้นหนูอายุประมาณ 16 ตอนนั้นประกวดเหมือนเป็นงานเปิดห้างใหม่ที่นครสวรรค์ เป็นห้างที่ใหญ่สุดในตอนนั้นแล้ว ประกวดเขาก็เลยหากิจกรรมให้กับห้าง ก็เลยจัดประกวดนางงาม เลยตกรอบแรกค่ะ (หัวเราะ) แต่มันจะไม่ตกได้ยัง กลางคืนเราไปร้องเพลง แล้วตอนเช้าก็ไปประกวดนางงาม มันก็หลายรอบอ่ะเนอะในการประกวดมันก็มีต้องทำกิจกรรมกับเขามันก็เหนื่อย กลางคืนไปร้องเพลงหนูก็เบลอๆ วันนั้นไปใส่ชุดกระโปรงสั้นถุงน่องสีดำ แล้วไปยืนร้องเพลงหน้าเวที แล้วไฟหน้าเวทีมันเป็นสปอร์ตไลท์มันก็จ่ออยู่ที่ขาหนู หนูก็เริ่มได้กลิ่นไหม้ แต่มันไม่ร้อนนะ คือมันเริ่มไหม้ถุงน่องเรา แล้วเวลามันไหม้ถุงน่องมันรันเร็วมากเลย ขาก็เลยดำข้างขาวข้าง หนูไม่รู้ตัวว่าไฟไหม้ จนคนดูข้างล่างเขาชี้บอกไอ้หนูๆ หนูถึงเห็น พอมาดูแผลมันคล้ายเเผลโดนท่อไอเสียอ่ะ แบบนั้นเลย เนี่ยแผลเป็นยังอยู่เลย แล้ววันรุ่งขึ้นไปประกวด แผลเป็นขนาดนี้ เลยคิดว่าหนูกับเส้นทางนางงามไม่น่าจะได้”

แล้วทำยังไงต่อ?
“ไปประกวดนางสงกรานต์ คราวนี้โดนประทัด (หัวเราะ) วันงานสงกรานต์ก็เตรียมตัวกำลังจะขึ้นรถแห่ในนครสวรรค์ ตอนนั้นมีเด็กถือลูกโป่งสวรรค์ข้างในมันก็มีแก๊สเนอะ หนูเป็นคนที่กลัวลูกโป่งแตกมากเลย แล้วมีเด็กมันจุดประทัดเล่นแล้วกระเด็นไปโดนลูกโป่งสวรรค์มันก็เลยระเบิดเข้าตาหนูพอดี ตาปิดเดี๋ยวนั้นดีที่ตาไม่บอด หนูก็ยืนร้องไห้ ยายเขาก็ไปหาพัดโบก แบบที่ใช้โบกให้กษัตริย์ แล้วบอกหนู เอ้า..เอานี่ปิดไปก่อน หนูก็เอาปิดตาไว้ข้างนึงพยายามหันข้างแล้วโบกไม้โบกมือตอนแห่”
ตอนเป็นนักร้องเราประกวดมากี่เวทีถึงได้มาเป็นนักร้องของสยามกลกาล?
“หนูประกวดเวทีเดียวแล้วได้เลย แล้วหลังจากนั้นได้มีโอกาสเจอพี่แจ้ ดนุพล แล้วได้พาไปทำเพลง”
เป็นอัลบัมชุด?
“ฉันไม่ใช่นางเอก และได้ชื่อฉายา ตั๊กลีลา มาตั้งแต่ตอนนั้นเลย”
คุณฮาย อาภาพร กับคุณสุ สุนารี เข้ามาตอนไหน?
“คุณสุนารี เขาก็เป็นนางพญาของเขาอยู่เเล้วเนอะ เจอเขาตามงานต่างๆ เดินมาเนี่ยหน้าเห็นมาแต่ไกลเลยเนี่ย ทุกวันนี้นางอยู่ต่างจังหวัดนะ นางชอบนั่งสามล้อเครื่อง เพราะนั่งมอเตอร์ไซค์ใส่หมวกไม่ได้ติดโหนก”
แล้วไปสนิทกันได้ยังไง 3 คน?
“ได้มีไปออกรายการ ซึ่งรายการนี้เป็นการเเข่งขันเป็นทีม แล้วแต่ละทีมต้องมีหัวหน้าทีม หนูก็ไปเป็นหัวหน้าทีม หนูก็คิดว่าเดี๋ยวไปนัดมุกกับพี่สุดีกว่า ในใจก็คิดว่าเขาจะเล่นกับเราไหม เพราะเขานั่งนิ่งเป็นนางพญาอยู่ หนูก็เลยเข้าไปทักเจ้สวัสดีค่ะ ไปนัดแนะมุกว่าหนูอยากเล่นแบบนี้พี่สุเล่นกับหนูหน่อยได้ไหม เราก็พูดกับเขาเนอะ พอถึงเวลาหนูก็เล่นตามที่นัด นางก็เล่นหนูคิดว่านางน่าจะเล่นสัก 60 แต่นางเล่นเกิน100″
ตัวจริงๆ สุนารีเป็นคนยังไง แล้วจุดไหนที่เรามองว่าเขาเป็นคนน่าคบ?
“พี่สุเป็นคนจั-ไรค่ะ (หัวเราะ) จุดที่น่าคบก็เป็นจุดนี้แหละค่ะ ส่วนฮายอาภาพรจะเป็นคนสม่ำเสมอเรื่องจั-ไร เขาจะมากับชุดคอร์เซ็ทของเขา ไม่ว่าจะใส่ชุดสีอะไรฮายจะต้องมีชุดคอร์เซ็ทสีดำ ที่ใส่มาเป็น10-20ปี แล้วและถ้าไปดูใกล้ๆ ด้ายนี่รุ่ยหมดแล้ว จนหนูกับพี่สุอำมันเรื่อย นี่ล่าสุดไปตัดมาใหม่แล้วสีน้ำเงิน”

แล้วกับฮาย อาภาพรเป็นยังไง?
“จริงๆ กับฮายรู้จักกันมานานเเล้ว ไม่ดื้อ แต่นางจะมีความมั่นใจในการแต่งตัว มีอยู่อันนึงเวลาไปไหนหนูนึกว่าผ้าเจ็ดสีเจ็ดศอก (แล้วเรื่องตัวเลขของนางเป็นไง?) ฮาย ซื้อเยอะ เยอะกว่าพี่สุ มันลงแต่ที่ถูกแล้วที่ถูกมันไม่พูด หนูเห็นและ ถูกฉ่ำๆ 10ใบ แต่ไม่ถูกอีกเป็นร้อย อย่าให้พูด”
แอบได้ยินข่าวแว่วๆ มาว่าตั๊กแยกห้องกับพี่นุ้ย?
“จริงๆ แล้วตอนแรกเราก็ไม่ได้แยกห้องกับพี่นุ้ยหรอกนะ แต่ช่วงหลังหนูไปทุ่มเทกับน้องหมา แต่เดิมเขามีกัน4 แต่ตายไปแล้ว 3 ซึ่งเหลืออยู่ตัวเดียวชื่อน้องกีต้าร์ หนูแค่รู้สึกพอพี่น้องเขาตายไปแล้ว 3 ตัวหนูกลัวเขาเหงา หนูเลยเอาเขามานอนกับหนู ซึ่งหนูเอาหมามานอนบนเตียงกับหนูผัวหนูก็เลยต้องไปนอนที่อื่นไง ส่วนพี่นุ้ยก็ดี๊ดี ที่เข้าใจหนูรู้ว่าหนูห่วงหมามาก เขาก็เลยเสียสละ พี่นุ้ยเขาก็เรียกลูกชาย คือลูกเราเขาก็โตแล้วเขาก็ไปมีชีวิตของเขาแล้วเขาก็ไม่ได้มาอะไรกับเราแล้ว แต่หมาเนี่ยตั้งแต่เกิดยันตายมันก็จะรักเจ้าของและอยู่กับเจ้าของยันตายแหละ”
เราเหมือนคู่ที่ผ่านอะไรด้วยกันมาเยอะ อยู่เหมือนเพื่อนกันแล้ว?
“พี่นุ้ยตอนนี้เขาก็เจอทางของเขา ก็เห็นว่าพี่นุ้ยตอนนี้เขาไปกางเต้นท์ของเขาไปทริปที่นั่นที่นี่กับเพื่อนกลุ่มเขา แต่หนูไม่ไปนะ หนูแค่คิดว่าสถานที่มันสวยก็จริงแต่กูต้องไปกางเต้นท์เก็บเต้นท์ อยากนอนโรงแรมดีๆ อยากกินอาหารที่ไม่ได้มานั่งทำเองปิ้งเอง วงการเต้นท์นะบางคนชอบเข้าแล้วออกยาก แต่บางคนนะ เข้าแล้วออกเลย (หัวเราะ) ส่วนหนูเนี่ยเข้าแล้วออกเลย แล้วล่าสุดเป็นเต้นท์หลังคา หนูก็ห้ามแล้วนะว่าดูวัยตัวเองด้วยต้องเดินขึ้นลงๆ และที่สำคัญมึงอ้วน (หัวเราะ) ทริปเดียวกลับมาขายเลย”
ตอนนี้อายุ 50 กว่าแล้ว เรามองข้างหน้าว่าจะร้องเพลงยังไง เราจะอยู่ในแวดวงนี้อีก 10 ปีข้างหน้ายังไง?
“คือปีนี้อาจจะมีคอนเสิร์ตนะ เพราะหนูตั้งใจนะเพราะหนูคุยกับเจ้าของคอนเสิร์ตไปแล้วว่าครั้งนี้จะเป็นคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายของหนู แล้วหนูก็จะไม่ขึ้นไม่จัดคอนเสิร์ตอีกแล้ว”
“ส่วนกับพี่คิ้มรู้จักมาตั้งแต่อายุ 18-19 ปี 30 กว่าปีที่รู้จักกันมาพี่คิ้มเป็นคนใจดีเห็นปากแบบนี้ รู้สึกยังไงก็พูดออกไปตรงๆ อย่าไปถือสา ห่วงนะ ห่วงเรื่องปากเนี่ย เพราะพี่ตั๊กรู้ว่าในธรรมชาติของพี่คิ้มเป็นยังไง และพี่ตั๊กรับได้ในความเป็นธรรมชาติของแก แต่คนอื่นไงกับคนอื่นที่เขารับไม่ได้ กูห่วงเขาตรงนี้ แต่พี่คิ้มเขาเป็นตัวอย่างให้พี่นะ เวลาใช้ชีวิตนี่คือความสุขของฉัน ฉันไม่ได้ไปทำให้ใครเดือดร้อน แล้วอะไรที่เป็นความสุขของเรา แล้วเราไม่ได้ไปทำให้ใครเดือดร้อนทำไปเถอะค่ะ”

เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
