‘พอร์ช-อาม’ หอบหลักฐานเข้าแจ้งความเหตุโดนขู่ฆ่า-วิจารณ์แรง หลังจูงมือจดทะเบียนสมรส

‘พอร์ช-อาม’ หอบหลักฐานเข้าแจ้งความเหตุโดนขู่ฆ่า-วิจารณ์แรง หลังจูงมือจดทะเบียนสมรส

หลังจากที่คู่รักนักแสดง LGBTQ+ พอร์ช อภิวัฒน์ อภิวัฒน์เสรี และ อาม สัพพัญญู ปนาทกูล ได้ควงกันไปจดทะเบียนสมรสเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา แต่กระนั้นก็มิวายโดนกลุ่มแอนตี้จดทะเบียนสมรสเท่าเทียมวิพากษ์วิจารณ์ทางโลกออนไลน์ ด้วยข้อความหมิ่นประมาทและถ้อยคำบูลลี่และร้ายแรงถึงขั้นถูกส่งข้อความมาขู่ฆ่า ล่าสุดทั้งคู่หอบเอกสารเดินทางเข้าแจ้งความกับเจ้าพนักงาน ร.ต.ท.หญิง กชมล ปรีชาปิ่นละออ รอง สว.สอบสวน สถานีตำรวจเตาปูน กทม. พร้อมเปิดใจว่า

พอร์ช : “วันนี้เดินทางมาแจ้งความ หลังจากเราแต่งงานจดทะเบียนสมรสไปเมื่อวันที่ 23 มกราคมที่ผ่านมา ก็ได้รับข้อความส่งมาขู่ฆ่าเอาชีวิต แต่รายละเอียดตรงนี้ผมเปิดเผยได้ไม่หมด แต่โดยรวมเป็นข้อความขู่ฆ่าครับ”

ตอนนี้ทราบมั้ยว่าคนที่ส่งข้อความขู่ฆ่าเป็นใคร?
อาม : “อันนี้ไม่ทราบเลยครับว่าเขาเป็นใคร น่าจะเป็นแอ๊กเคาต์หลุมแหละครับที่ปลอมแปลงเข้ามา วันนี้ก็รวบรวมหลักฐานทั้งหมดมาให้ทางตำรวจครับ”

ADVERTISMENT

ข้อความที่ส่งเข้ามาส่วนใหญ่เนื้อหาเกี่ยวกับแอนตี้ lgbtq+?
อาม : “ใช่ครับ ก็เป็นข้อความที่เกี่ยวกับ lgbtq+ คือเอาจริงๆ ตั้งแต่เราจดทะเบียนสมรสไปเมื่อวันที่ 23 มกราคม ตอนแรกเราคิดว่าคนจะมาอวยพรยินดีเรานะครับ แต่พอกระแสมันออกไปเป็นวงกว้าง คนรู้จักสมรสเท่าเทียมเยอะขึ้น ทำให้เราเข้าใจว่าในกระแสสังคมยังมีคนที่ไม่เข้าใจเรา ที่ไม่เข้าใจ lgbtq+ ไม่เข้าใจว่าเราคือมนุษย์ คิดว่าเราคือคนที่แตกต่าง ต้องบอกว่าคนที่อคติแบบนี้เอาจริงๆ เราไปเปลี่ยนแปลงเขาไม่ได้หรอก เราไม่สามารถไปลบอคติเขาได้ในชั่วข้ามคืน เราอยากจะบอกว่ากฎหมายตอนนี้มีไว้เพื่อรองรับคู่ชีวิต ให้ความเป็นมนุษย์ ให้การยอมรับในสังคม สมรสเท่าเทียมคือการให้ความเป็นมนุษย์ ให้ความเท่าเทียมทางสังคม ให้เราสร้างครอบครัวได้อย่างมั่นคง”

ADVERTISMENT

พอร์ช : “แต่กลายเป็นว่าการมีกฎหมายเท่าเทียมออกมา กฎหมายไม่สามารถเปลี่ยนอคติที่มนุษย์มีให้กันได้ สิ่งที่จะเปลี่ยนได้ก็คือเวลา การที่มนุษย์สองคนจะสร้างครอบครัวที่แตกต่างจากเขาเนี้ยมันต้องใช้เวลา ในขณะที่เรารอเวลามานาน มันไม่ได้มีส่วนร้ายในสังคม อยากจะขอร้องที่ให้เกียรติกัน ปฏิบัติต่อกันอย่างที่มนุษย์ปฏิบัติต่อกัน ด้วยมารยาท ด้วยศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์เท่ากัน ไม่ผิดที่จะไม่เห็นด้วย ไม่ผิดที่จะไม่ชอบ แต่การที่แสดงออกมาด้วยการแซะ การเหยียด การด่า จนกระทั่งมาข่มขู่ถึงการเอาชีวิต อันนี้ในทางกฎหมายแล้วเราก็มีความจำเป็นจะต้องดำเนินการ”

หลังจากได้รับข้อความขู่ฆ่า ต้องระมัดตัวเองยังไง?
อาม: “ต้องบอกว่าเราต้องทำมาหากิน เมื่อวานเราไปงานอีเวนต์เรายังต้องยิ้มแย้มกับทุกคนอยู่ เจอแฟนคลับก็ยังต้องยิ้มแย้ม อันนี้คือหน้าบ้านของเรา แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าเรากลัว เราหวาดระแวงแค่ไหน”
พอร์ช : “คือมีหลายคนพูดว่าอยู่ในที่แจ้ง อยู่ในไฟก็แบบนี้แหละ ถูกต้องครึ่งหนึ่งครับ แต่อย่าลืมว่าเราก็เป็นคนเหมือนทุกคน มีชีวิตมีครอบครัว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมานอกจากมีเราที่กังวล ก็ยังมีแม่เราสองคน ครอบครัวเรา เพื่อนเรา กังวลกับเรามาก แทบจะมากกว่าเราอีก ก็อยากจะบอกว่าไม่ต้องเห็นด้วยกับเราก็ได้ เก็บคำไม่เห็นด้วยไว้ เก็บไว้แสดงออกอย่างสุภาพ และดูกันต่อไปยาวๆ ว่าความกลัวที่มีในใจมันจะเป็นจริงมั้ย ถ้ามันมีปัญหาเราแก้กันที่กฎหมาย แต่ไม่ใช่การด่าทอกัน ในการทำร้าย ในการข่มขู่”

หลังแจ้งความถ้าเขาติดต่อมาขอโทษจะดำเนินการยังไงต่อไป?
พอร์ช : “คงต้องให้เป็นไปตามกฎหมายครับ ผมมองแบบนี้ว่าเวลาจะพิมพ์ทุกคนมีเวลาในการใช้ความคิด มีเวลาไตร่ตรอง และเราก็รู้อยู่ว่าเราอยู่ใต้กฎหมายเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นทำมาแล้วก็ต้องว่ากันไปตามกฏหมาย”

นอกจากโดนข่มขู่ฆ่า ก็มีรวบรวมข้อความวิจารณ์ต่างๆ ทางโซเชียลส่งให้ทางเจ้าหน้าที่ด้วย?
อาม : “เป็นพวกข้อความบูลลี่ เป็นข้อความวิจารณ์ ด่าทอ ในส่วนนี้ทางทนายแคปไว้หมดแล้ว ก็เดี๋ยวดำเนินการกันต่อไป”

กลายเป็นว่าหลังจดทะเบียนสมรสเท่าเทียมโดนวิจารณ์เยอะมาก?
พอร์ช : “เราเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า เดี๋ยวนี้เปิดรับกันแล้ว มีแต่ความยินดี แต่กลายเป็นว่าอคติเรานั้นไม่เคยหายไปไหน แค่มันยังไม่ผุดขึ้นมาเท่านั้นเอง อาทิตย์นึงผ่านไปเราได้เห็นว่าคำวิจารณ์มันได้มาถึงขั้นนี้แล้ว ก็รู้สึกตกใจ”
อาม : “เอาจริงๆ ตั้งแต่เกิดเรื่องเรียกว่าปลอบกันก็ได้นะ ปลอบกันทุกวัน เห็นถึงความเครียดของเขา เวลาเราออกไปข้างนอก ออกไปนอกบ้านต้องอยู่ด้วยความระมัดระวัง มันไม่ใช่ชีวิตมนุษย์ที่ต้องเจอ เราเพิ่งผ่านการแต่งงานมาหนึ่งอาทิตย์ มันควรจะมีแต่เรื่องราวดีๆ เรารักกัน เราจะสร้างครอบครัว แต่มันกลับกลายเป็นว่ามาขู่กัน เราไม่ได้รู้จักกัน”
พอร์ช : “เราไม่ได้รู้จักกันเลยด้วยซ้ำ แค่เหตุผลเราต่างกัน ในรูปแบบความรักเท่านั้นเอง”
อาม : “เอาจริงทุกคนต่างกัน แต่อย่าเอาอคติมายิ่งทำให้เราต่างกัน เราจะมีขอบเขตซึ่งกันและกัน”

จะเรียกร้องค่าเสียหายยังไงกับคอมเมนต์วิจารณ์?
พอร์ช : “ก็ว่ากันไปตามกฎหมายก่อน เดี๋ยวค่อยมาคุยกันว่าจะจบยังไง”
อาม: “เอาจริงๆ ข้อความวิจารณ์เยอะมากเลยนะ แล้วเป็นคนที่เราไม่ได้รู้จักด้วย แต่บอกเลยว่าเราตามตัวเขาได้นะ ความจริงพอทำความเข้าใจได้กับคอมเมนต์ต่างๆ ที่คนคอมเมนต์มา เราทุกคนเห็นต่างได้ เราต้องเห็นต่างให้เกียรติซึ่งกันและกัน อยู่ในขอบเขตของกันและกัน”
พอร์ช : “ไม่เห็นด้วยได้ แต่การดูถูกเหยียดหยาม การด้อยค่าความเป็นคน เหมือนที่เราสัมภาษณ์ว่าเรามีแพลนที่จะมีลูกกัน เราได้อ่านเขาบอกว่าลูกเราน่าจะเป็น…สิ่งปฏิกูลหรือเปล่า ผมรู้สึกว่ามันไม่มีประโยชน์ที่เราจะพูดแบบนั้นกับคนอื่น”

อยากจะฝากบอกกับกลุ่มคนที่ยังคงคอมเมนต์วิพากษ์วิจารณ์ทางโซเชียลด้วยข้อความบูลลี่ต่างๆ?
พอร์ช : “อยากให้แสดงความคิดเห็นอย่างสุภาพ ไม่ผิดที่จะไม่เห็นด้วย แต่ต้องอยู่ภายใต้ความสุภาพ และรู้เสมอว่าบุคคลทุกคนควรอยู่ภายใต้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน และได้รับการรองรับภายใต้กฎหมายอย่างเสมอภาคกัน ถ้าอะไรที่เราทำแล้วมันฝ่าฝืนกฎหมายและไปพาดพิงถึงคนอื่น ก็มีความจำเป็นที่จะต้องใช้กฎหมายเข้ามาดูแล”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image