“ตอนแรกก็คิดว่าเป็นละครเบาๆ ขำๆ” ปุ๊กลุก-ฝนทิพย์ วัชรตระกูล เปิดอกสารภาพกับมติชนออนไลน์ ถึงเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ตัดสินใจรับแสดงละครเรื่อง ‘นายฮ้อยทมิฬ’ ซึ่งกำลังสร้างชื่อเสียงให้สถานีโทรทัศน์ช่อง 7
เป็นเหตุผลที่นอกเหนือไปจากเรื่องของความรู้สึกผูกพันกับค่ายพอดีคำ ของผู้จัดธงชัย ประสงค์สันติ ที่รู้สึกว่าทำงานกับทีมนี้แล้วอบอุ่น เหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน อีกทั้งยังเห็นว่า “นายฮ้อยทมิฬเป็นละครที่สะท้อนชีวิตคนไทยสมัยก่อนในภาคอีสาน สะท้อนถึงความยากลำบาก”
“ซึ่งถ้าเราทำละครเรื่องนี้ให้ดังขึ้นมาได้ ในมุมที่เยาวชน รวมถึงคนไทยสมัยนี้ได้เห็นถึงความยากลำบากของคนอีสานสมัยก่อน ก็จะทำให้หลายๆคนที่อาจจะฟุ่มเฟือย หรือไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องเหล่านี้ได้เห็น”
เห็นชีวิตอันยากแค้น และการต้องอยู่ให้รอดบนแผ่นดินอันแตกระแหง เพราะความแห้งแล้ง-สิ่งที่เคยได้ยิน แต่อาจจะไม่เคยเห็นภาพ
“ก็เป็นเรื่องที่ดี”
แต่ๆๆๆๆ พอเอาเข้าจริง ละครเบาๆขำๆที่มโนไว้ “ทำไมกลายเป็นหนักมาก” นางเอกที่สวยสมกับมีดีกรีนางงามบอกพลางหัวเราะ
“คือจริงๆตอนแรกหลับจบเรื่อง ‘เพื่อนแพง’ ก็กะจะเล่นเบาๆ ก็ได้ ‘แม่อายสะอื้น’ ก็ไม่เห็นจะเบาเลย จบ ‘แม่อายสะอื้น’ ก็กะว่าจะไม่รับละครหนักๆ ก็มาเป็น‘นายฮ้อยทมิฬ’”
ซึ่งตอนแรกก็ดีอกดีใจ ที่ไม่ใช่บทดราม่าพาให้เครียด แถมเนื้อเรื่องส่วนใหญ่ก็น่าจะตกอยู่กับพระเอกไมค์ ภัทรเดช สงวนความดี
แต่พอเจอการต้องพูดภาษาอีสานเข้าเท่านั้น ทุกอย่างที่คิดไว้ก็กลายเป็นตรงข้าม
ทั้งนี้ปุ๊กลุกบอกว่า จริงๆเธอเองก็รู้ว่าการเล่นละครเรื่องนี้ต้องพูดภาษาอีสาน ดังนั้นจึงตั้งใจจะหัดอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่นึกไม่คิดว่าธงชัย ประสงค์สันติ จะให้พูดตั้งแต่เข้าเวิร์คช็อปวันแรก
พอเขาบอก คนซึ่งแม้จะมีพ่อและแม่เป็นคนอีสาน แต่พูดไม่เป็น เพราะถูกสอนให้พูดภาษากลางมาตลอด เพื่อนที่เป็นคนอีสาน หรือพูดอีสานด้วยก็ไม่มี จึงถึงกับอึ้ง
“คิดว่ามาเวิร์คช็อปอ่านบทเฉยๆ แต่พี่เขาให้อ่านภาษาอีสานเลย นั่นเป็นจุดที่รู้สึกว่าไม่ได้แล้ว หลังจากนี้ต้องพร้อมเสมอ”
วิธีหัดที่เธอเลือกใช้ คือให้พี่เลี้ยงชาวอีสานสายตรง อ่านบทในส่วนของเธอแล้วบันทึกเสียงไว้ เพื่อเธอจะฟังพร้อมทั้งหัดออกเสียงไปทุกๆคืนก่อนนอน
ขณะที่ในช่วงของการถ่ายทำ การฝึกจะเข้มข้นกว่านั้น
“ปกติละครทั่วไปเราจะตีความบท ซึ่งก็ใช้เวลาทั้งวัน เหมือนเขียนความต้องการในแต่ละฉาก แต่เรื่องนี้นอกจากต้องทำแบบนั้น ยังต้องท่องภาษาล่วงหน้าอีกประมาณ 4 วัน วันละ 4-5 ชั่วโมง”
การเป็น ‘คำแก้ว’ ในเรื่องนี้ ปุ๊กลุกบอกว่าความยากอยู่ที่การต้องแสดงคาแรคเตอร์ให้ชัดเจน และแตกต่างจากบทคล้ายๆกันตอนที่เล่นเรื่อง ‘เพื่อนแพง’
“กลัวคนจะติดภาพของเพื่อนแพง เพราะเคยเล่นบทแบบนี้มาแล้ว” เธอว่า
“ซึ่งจริงๆชีวิตเรามีไม่กี่คาแรคเตอร์หรอก ตัวนี้ก็เป็นตัวละครหนึ่งที่กลับมาอีกครั้ง จะทำยังไงให้คนรู้สึกว่าแตกต่าง”
“คำแก้วเป็นตัวละครน่ารักๆ พี่ธงบอกว่าเหมือนเป็นดอกไม้ดอกหนึ่งที่งดงามอยู่ในพื้นดินแห้งแล้ง ต่อให้ลำบากก็จะยิ้ม จะสู้ จะสนุกกับมัน เราก็ตีความในแบบที่คำแก้วจะต้องมีความสุขในทุกๆความทุกข์ ทุกๆความยากลำบาก”
กับการถ่ายทำ ซึ่งเพื่อความเหมาะสมของเนื้อเรื่อง แต่ละโลเคชั่นที่เลือกใช้จึงไม่ได้มีความสะดวกสบาย แถมช่วงที่ไปถ่ายแดดก็จัด อากาศก็ร้อน ชนิดบางวันแถวนั้นอุณหภูมิขึ้นไปจน 40 องศาเซลเซียส แต่ปุ๊กลุกก็ว่าไม่เพียงแต่เธอ หากทุกๆคนในทีมก็ตั้งใจกันอย่างเต็มที่ เพื่อให้งานออกมาดีและสมจริงที่สุด
“รู้สึกว่าในความสมจริง ในความทุ่มของนักแสดงและทีมงาน มันคือกำไรให้กับคนดู ว่าถ้าคุณตัดสินใจที่จะดูละครของเราแล้ว คุณจะคุ้มค่ากับมัน เพราะเบื้องหลังของทุกคนที่เห็นในฉากแค่ประมาณ 2 นาที เราฝึกมาไม่รู้กี่วัน ฉากบู๊หรือร้องเพลง หรืออะไรต่างๆกว่าจะออกมาต้องผ่านอะไรหลายอย่าง”
ดังนั้นเมื่อเรทติ้งออกมาดี แถมมีเสียงชื่นชมกระหึ่ม เจ้าตัวจึงบอกพร้อมรอยยิ้มสวยว่า “ดีใจ หายเหนื่อย”
“บางคนอาจจะมองว่าเราทำเต็มที่แล้ว ตัวเลขไม่สำคัญ แต่สำหรับเรา มันคือกำลังใจของทั้งนักแสดงและทีมงาน ทำให้ทุกๆคนมีรอยยิ้ม เพราะก่อนหน้านี้เราถ่ายทำกันมาเหนื่อยจริงๆ กับแดดที่ร้อน กับฝนที่ตกแล้วถ่ายไม่ได้”
นี่ยังไม่นับกับเรื่องที่ต้องหักห้ามความกลัวและความรู้สึก ‘หยึยๆ’ ตอนต้องจับกบ จับกะปอม และการต้องเป็นฝ้าที่ไม่เคยคิดเลยจะมาเป็นตอนอายุเพิ่งจะ 27 ปีเช่นนี้
“แต่เรทติ้งที่ได้มา ก็คุ้มค่ากับฝ้าที่จะต้องรักษาต่อไปนะคะ” ว่าอย่างนั้น
ถึงวันนี้ปุ๊กลุกแสดงละครมาได้ 7 ปี เป็น 7 ปีที่เมื่อถึงวันนี้ “ต้องบอกว่าเหนื่อยมากจริงๆ”
เหนื่อยและหนัก เพราะอยากให้ทุกๆงานออกมาดี
“จนไม่รู้ว่าจะเล่นละครได้อีกสักกี่เรื่อง”
“ไม่รู้ว่าจะนับถอยหลังอีกกี่เรื่องดี”
“หลายๆคนเริ่มนับไปข้างหน้าใช่ไหมคะ ว่าเรื่องต่อไปฉันจะยังไง แต่ทุกวันนี้เราเริ่มนับถอยหลังละ วันหนึ่งข้างหน้าถ้าเกิดว่าเราสุดแล้ว เราเหนื่อยแล้ว เราอาจจะไม่ได้อยู่ตรงนี้”
ดังนั้นระหว่างนี้-ที่ยังอยู่ เธอจึงตั้งใจว่าจะทำงานที่เลือกแล้วให้ดีที่สุด
“ทุกเรื่องหลังจากนี้ในชีวิตของเรา ต้องเป็นเรื่องที่เราตอบตัวเองได้ ว่ามันคือมาสเตอร์พีช ต่อให้เป็นละครที่เหมือนจะง่าย แต่เราก็ต้องทำให้มันยาก เหมือนเรื่องนี้ที่เราเป็นแค่ตัวละครที่เป็นสีสัน แต่เราก็ทำให้มันเป็นมาสเตอร์พีชที่คนมองว่า เฮ้ย! พูดอีสานในแบบที่เป็นคนอีสานจริงๆ”
“หลังจากนี้ก็จะทำอย่างนั้น”
ทำให้ดีที่สุด
ทำด้วยความรู้สึกว่านี่อาจจะเป็นเรื่องสุดท้ายที่ได้เล่น
ทำอย่างเต็มที่
“อยากให้คนรู้สึกว่ามันคือมาสเตอร์พีชของเราในทุกๆเรื่องหลังจากนี้”
…