′เบสท์ เดอะวอยซ์′ กับเรื่อง ′ดราม่า′ ที่ไม่อยากเล่า

นิ่งๆ แต่มาแรง!!

คือนิยามที่ต้องมอบให้แชมป์ “เดอะ วอยซ์ ไทยแลนด์ ซีซั่น 4” คนล่าสุด อย่าง เบสท์-ทิฏฐินันท์ อ้นปาน หนุ่มหน้าคมวัย 26 ปี ลูกทีมของโค้ช โจอี้ บอย-อภิสิทธิ์ โอภาสเอี่ยมลิขิต

“ยังตื่นเต้นอยู่เลยครับ” แม้จะผ่านวินาทีของการประกาศผลมาได้หลายวัน แต่เบสท์ก็เล่าความรู้สึกของการเป็นแชมป์ด้วยรอยยิ้ม

ก่อนย้อนเล่าถึงวินาทีนั้นว่า “ตอนนั้นคิดอยากขอบคุณ อยากกราบทุกคน เลยลงไปกราบพื้น แล้วก็ร้องไห้ มันตื้นตันครับ ไม่คิดว่าจะได้ หรือติด 2 คนสุดท้ายเลย”

Advertisement

อย่าว่าแต่ 2 คนสุดท้าย เพราะแม้แต่รอบหลังๆ “ผมยังไม่แน่ใจเลยว่าผ่านเข้ามาแล้วหรอ ทำไมคนอื่นกระแสเยอะจัง ผมตกแน่ๆ”

อย่างไรก็ดี ประสามนุษย์ เขาก็มีความหวังอยู่ทุกรอบ แต่ก็เผื่อใจไว้ตลอดเช่นกัน

“ตั้งแต่รอบแบทเทิลกับน้อง ข้าวโพด-ณัฎฐา อินต๊ะซาว ผมก็ลิสต์ไว้ว่าจะพูดกับโค้ชยังไงไม่ให้ตัวเองร้องไห้ ทุกรอบจะเตรียมไว้ตลอด ด้วยผมเป็นคนพูดไม่เก่ง เลยต้องเขียนไว้ก่อนว่าคำนี้ต้องพูดนะ คำนี้มันตรงมาจากใจ”

Advertisement

“แต่พอถึงเวลาต้องพูดจริง มันพูดไม่ออก ได้แค่สั้นๆ ว่าขอบคุณ ดีใจ”

แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ เขาว่า “ผ่านอะไรมาเยอะ”

ตั้งแต่เริ่มหัดเล่นกีตาร์ตอน ป.4 เพราะถูกพี่ชายบังคับให้เล่นเป็นเพื่อน ไปๆ มาๆ เลยชักติดใจจนเริ่มเล่นจริงจัง กระทั่งเรียนจบ ม.3 แล้วย้ายมาเรียนต่อ ปวช.ที่เชียงใหม่ ก็มีวงดนตรีของตัวเองชื่อ “ขนมหวาน” ที่เล่นทั้งในสถาบันและร้านอาหารกลางคืน ซึ่งเขาควบตำแหน่งนักร้องนำและมือกีตาร์

แต่เหตุการณ์ที่ทำให้เสียเซลฟ์ครั้งใหญ่คือตอนตกรอบ “เดอะ สตาร์ ปี 5” ตอนอายุ 17 ปี

“ร้องได้ประมาณ 10 วินาที เขาก็บอกว่าขอบคุณครับ แล้วก็เดินออกมาเลย”

“มันก็นอยด์นะ เพราะเราคาดหวังไว้เยอะ ทีนี้เลยไม่ไปประกวดที่ไหนเลย ตั้งใจเรียน ตั้งใจทำงาน ไม่คิดเรื่องประกวดในสมองเลย”

กระทั่งมีเวทีเดอะ วอยซ์ เกิดขึ้น เพื่อนก็ยุให้มาประกวดทุกปี แต่ก็ยังไม่สนใจ เพราะคิดว่าไปแล้วเสียเวลาเปล่า จนถึงซีซั่นล่าสุด ความที่สั่งสมประสบการณ์มาแน่น แถมกลัวจะแก่เกินทำตามความฝันจึงตัดสินใจมา

เป็นเหตุผลว่าทำไมตอนร้องเพลง “หัวใจขอมา” ของ คริสติน่า อากีล่าร์ ในรอบไฟนัลถึงเสียงแกว่งอย่างที่เห็น ด้วยเนื้อเพลงที่ว่าด้วยการทวงคืนความฝัน

“เหมือนเป็นคำพูดผมที่ออกมาเป็นเพลงเลยนะ” เบสท์บอกด้วยรอยยิ้ม

เมื่อถามถึงอนาคตนับจากนี้ เขาสารภาพว่า ยังไม่เห็นหนทางชัดเจนนัก ต้องรอเซ็นสัญญากับค่าย ไอแอม ก่อน เช่นเดียวกับเรื่องเรียนที่ยังติดพันอยู่ปี 3 คณะวิทยาการจัดการ สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่

แต่ที่แน่ๆ คือต้องแยกย้ายกับวงดนตรีของตัวเองไปอย่างเสียดาย

“เมื่อก่อนผมมีเรียนจันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่เช้าถึงเย็น แล้วร้องเพลงประมาณ 2 ทุ่มถึงเที่ยงคืน ถึงบ้านตีหนึ่ง พอ 8-9 โมงก็มาเรียน”

“มันเหนื่อยเป็นปกตินะ”

แต่เริ่มหนักขึ้นตอนแข่งเดอะ วอยซ์ เพราะต้องเดินทางไปมาระหว่างกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ต้องตามงานที่เรียน ต้องเดินสายขอคะแนนโหวตตามโรงเรียนเก่า ต้องไปโปรโมตตัวเองตามสื่อท้องถิ่น จนน้ำหนักลดไป 4 กก.

แต่ก็ไม่ได้ท้อถอยกับเส้นทางที่เลือกเดิน เพราะ “ผมเหนื่อยมาแต่แรกแล้ว ตั้งแต่เลือกที่จะเรียนและเล่นดนตรีพร้อมกัน”

ด้วยเหตุผลสำคัญ “เราไม่มีพ่อ”

“บ้านเกิดผมอยู่สุโขทัย พ่อกับแม่แยกทางกันตอนเด็กๆ แม่ไปมีครอบครัวใหม่อยู่ที่เชียงใหม่ ผมเลยอยู่กับพ่อ แล้วพ่อเสียตอนผมเรียนจบ ม.3 พอดี เลยย้ายไปอยู่กับแม่ที่เชียงใหม่”

“แม่ก็ต้องหาเลี้ยงน้อง เราเลยไม่มีเวลาที่จะไปเล่นเป็นวัยรุ่นแล้ว บวชก็แล้ว จับได้ใบแดงไปเป็นทหารอยู่ที่พิษณุโลก 2 ปีก็แล้ว ถูกฝึกให้มีความอดทนอดกลั้น เราเป็นลูกผู้ชาย ต้องแบกรับอะไรตรงนี้ได้”

“ยังไงก็ต้องสู้ครับ ไหวอยู่แล้ว”

“คนจะบอกว่าผมเงียบๆ ผมไม่อยากบอกใครว่าชีวิตดราม่ามานะ รันทดมานะ ผมแค่ทำในสิ่งที่ดีที่สุด ทำทุกวันให้มันออกมาดี แค่นั้นแหละครับ ผมไม่อยากให้คนมาจับตามองเรื่องนี้”

นี่จึงเป็นอีกเหตุผลนึงที่เขาเลือกจะนำเงินรางวัลไปใช้หนี้ กยศ. จำนวนแสนกว่าบาทเป็นอันดับแรก รองลงมาคือซื้อบ้านให้ครอบครัว เพราะแม้จะอยู่เชียงใหม่กันมานาน แต่ก็ไม่มีบ้านหรือที่ดินเป็นของตัวเองเสียที

ทั้งนี้ทั้งนั้นเขาว่า ขอบคุณทุกแรงโหวตที่ทำให้มีวันนี้

“ผมจะทำตรงนี้ให้ดีที่สุด จะเป็นเบสท์คนเดิม”

แม้บางอย่างต้องเปลี่ยนไป โดยเฉพาะบุคลิก

“เดี๋ยวนี้ต้องมีแป้ง มีลิปติดตัว ทารองพื้น ก่อนออกบ้านต้องทำผมหน่อยนึง รองเท้าแตะห้ามใส่” พูดพร้อมโชว์เสื้อผ้าเนี้ยบๆ ที่ใส่มาซึ่งล้วนแต่ยืมเขามาหมด…ฮ่าาา

“มันวุ่นวายขึ้นนะ แต่ก็เป็นแรงผลักดันให้เรา”

“ความฝันของผม จะได้ทำมันจริงๆ ละ” เบสท์ทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้มกว้าง

เบสท์ เดอะ วอยซ์ 2

ความในใจถึง “เฮีย”

“พี่โจ้น่ารัก นิสัยดี แต่บางอารมณ์ก็เหมือนเด็ก” คือคำนิยามแรกที่เบสท์ว่า

โดยทันทีที่ได้ลูกทีมครบ โค้ชโจอี้หรือที่เขาเรียกว่า “เฮีย” ก็จัดแจงนัดลูกทีมปี 1-3 มากินข้าวกับรุ่นน้องทันที แถมดึงทุกคนเข้าไปอยู่ในกรุ๊ปไลน์เดียวกัน เพื่อคอยปรึกษาช่วยเหลือกันตลอด แถมระหว่างแข่งขันเขายังได้ไปนอนบ้านเฮียอยู่หลายคืน

“ตอนแรกผมเกรงใจแกนะ ไม่กล้าคุยด้วย คือช่วงที่ยังไม่รู้จักกันจริงๆ แกเหมือนคนธุระเยอะ ทำนู่นทำนี่ตลอด แต่พอรู้จักแล้วกลายเป็นว่าเราคุยกับแกได้หมด แกจะจริงจังบ้าง ตลกบ้าง งอแงบ้าง ให้กำลังใจบ้าง”

อย่างเวลาเจอกระแสต่างๆ นั้น “เฮียจะบอกว่าหลายคนก็หลายสมอง หลายความคิด เขาจะพูดถึงเรายังไงก็ได้ เพราะเรามาอยู่ตรงนี้แล้ว อย่าไปทำให้มันเละไปมากกว่านี้”

ส่วนเวลาเฮียเจอกระแสบ้าง เบสท์บอกตรงๆ ว่าไม่ได้ช่วยอะไร

ก่อนจะหัวเราะ พร้อมให้เหตุผลเสริม

เพราะ “ผมรู้ว่าเฮียแกสตรองอยู่แล้ว”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image