เพราะอยากรู้จึงดูเพลิน
‘ศรีอโยธยา‘ ของทรู วิชั่นส์ โดย ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล ออกอากาศทุกจันทร์-อังคาร 20.30 น. ได้ 4 ตอนแล้ว ยังไม่มีที่ต้องติเรือทั้งโกลน เพราะอยากเห็นความตั้งใจเทิดพระเกียรติบุรพกษัตราธิราชเจ้า ของผู้เขียนบทและผู้กำกับภาพยนตร์ ว่าจะออกมารูปไหน ด้วยรายละเอียดเนื้อหาอย่างไร
ที่ว่าเพราะอยากรู้นี่เองจึงยังดูเพลิน ก็โดยเหตุผลที่มักสำราญกับการอ่านนิยายอิงประวัติศาสตร์ และดูหนังที่มีประวัติศาสตร์เป็นฉากหลัง เนื่องจากอยากรู้ว่า เหตุการณ์นั้นๆในประวัติศาสตร์ที่จารึกลงพงศาวดาร หรือบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร โดยตัวละครซึ่งปรากฏเพียงนาม ปราศจากลมหายใจที่กระโดดโลดเต้นได้อย่างมีวิญญาณ ไม่ว่าไทยหรือเทศนั้น นักเขียนใช้จินตนาการกว้างไกลขนาดไหน ที่แต่งเติมส่วนอันเป็นเลือดเนื้อให้เกิดชีวิตชีวา พร้อมบทสนทนาซึ่งแสดงบุคลิกแต่ละตัวละคร มาจูงใจให้ผู้ติดตามอ่านหรือผู้ชมคล้อยตามได้มากน้อยแค่ไหน
เช่นล่าสุดที่ วิษณุ เครืองาม เขียน ‘ชีวิตของประเทศ’ สองเล่มโต จับความแต่เสียกรุงครั้งหลัง ผ่านกรุงธนบุรีมาถึงการสร้างราชธานีใหม่ฝั่งซ้ายแม่น้ำเจ้าพระยา ลำดับเนื้อหาแต่รัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 5 เดินเรื่องด้วยตัวละครที่เกิดพร้อมพระนคร ซึ่งจะนำพาชีวิตของประเทศให้เราได้เห็น ตั้งแต่ขนบธรรมเนียมในวังทั้งฝ่ายนอกฝ่ายใน จนวิถีไพร่ฟ้า ที่ผู้เขียนประมวลข้อมูลทั้งบันทึกหลักและเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ผสมพงศาวดารกระซิบไม่หายหกตกหล่น มาเสกสร้างสีสันได้อย่างเพลิดเพลิน เห็นตัวละครซึ่งปรากฏพระนามหรือนามในประวัติศาสตร์ เคลื่อนไหวไปมาได้อย่างชวนคิดชวนไตร่ตรอง
แน่นอน เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่อ่านไปคิดไปไตร่ตรองไป เหตุการณ์ตอนนั้นตัวละครน่าจะคิดอย่างนั้นไหม ทำสิ่งที่เกิดในประวัติศาสตร์นั้นได้ไหม คำพูดควรจะออกมาอย่างนั้นหรือเปล่า ฯลฯ
นั่นคือรสชาติของการอ่านและย่อยนิยายหรือภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์
ทำไมใครจะไม่อยากเห็นพระยาตากครั้งหนุ่มฉกรรจ์ จะมีบุคลิกอย่างไร พูดจาอย่างไร มีอำนาจสง่าราศีลักษณะไหน ใครจะไม่อยากเห็นรัชกาลที่ 1 ครั้งยังเป็นทองด้วง ใครไม่อยากเห็นบุญมาพระยาเสือ นักรบคู่บุญพระเจ้าตากและพระพุทธยอดฟ้าฯ ที่ศัตรูขามเดชกระทั่งได้ยินชื่อก็ครั่นคร้าม ว่าคัดเลือกหน้าตามาวางท่าทางได้น่าเกรงบารมีอย่างไร
‘หม่อมน้อย’ ก็พยายามรังสรรค์อย่างเห็นได้ชัด เพียงแต่บุคลิกของ 3 ตัวเอกเพื่อนเกลอ สิน ทองด้วง บุนนาค(ได้ ชินมิษ บุนนาคแท้มาเล่นเอง) ยังออกมาแบบอุดมคติ เป็นคนรักชาติรักแผ่นดินตลอดเวลา แม้จะมีฉากหย่อนใจส่วนตัว(ในกาละเดียวกันก็ได้แสดงแหล่งสำราญในพระนครพร้อมกันไปด้วย)หยอกล้อกันเรื่องแอบไปเที่ยวหาผู้หญิง หรือวิ่งแข่งกันอย่างกับที่เคยทำสมัยก่อน ประเดี๋ยวเดียวก็ยืนยืดอกปกป้องแผ่นดินกันอีก
ถึงอย่างนั้น เพียงสี่ตอนก็ยังมิได้เกินงาม เนื่องจากเพิ่งได้รับข่าวศึก ฝ่ายในก็วิตกกังวล เมียและแม่ขุนศึกทั้งหลายต่างน้ำตาตก กระทั่งแม่ทัพนายกองที่มิได้เกรงศึกก็ไม่ได้กระเหี้ยนกระหือ ที่จะเร่งเข้าสมรภูมิไปประหัตประหารเป็นเรื่องสนุก
น่าดูและน่าติดตามก็คือ พระเจ้าเอกทัศ ซึ่งในประวัติศาสตร์เรียกขุนหลวงขี้เรื้อน กษัตริย์ผู้เสียแผ่นดิน ด้วยไม่สนพระทัยทำสงคราม สิ้นพระชนม์อย่างอนาถาซึ่งยังยุติไม่ได้ว่า ถูกปืนขณะหนีศึก หรือถูกทิ้งให้อดพระกระยาหารอยู่เดียวในบ้านดง แค่ตอนที่ผ่านมา นพชัย ชัยนาม ได้สร้างบุคลิกของพระเจ้าเอกทัศไว้น่าสนใจ อารมณ์ความรู้สึก ผ่านดวงตาท่วงทีกิริยา จังหวะการปล่อยคำพูด ผู้กำกับยังกำกับไว้ได้สม่ำเสมอ เช่นเดียวกับขุนหลวงอุทุมพร เพ็ญเพ็ชร เพ็ญกุล ที่ยังต้องดูกันยาวๆต่อไป
ต่างกับตัวละครเอก ๓ นามข้างต้น ที่ยังลอยๆดูเป็นแบบฉบับไปหน่อย
ศรัณยู วงษ์กระจ่าง พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศออกมาฉากหนึ่ง ก็ชวนจับตาดี ฉากมอบราชบัลลังก์นี้ เจ้าฟ้าเอกทัศซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างพี่น้องพระพักตร์นิ่ง โหวงเหวง ชวนให้ผู้ชมอยากรู้ว่าทรงคิดอะไรอยู่
ความที่ตัวละครซึ่งมีทั้งภาคอดีตและปัจจุบัน การสลับเดินเรื่อง แจกบทไปมาระหว่างตัวละครบทบาทต่างๆ อาจารย์พิมานในปัจจุบันกับมหาดเล็กพิมานในอดีต พิมานกับเจ้าฟ้าสุทัศน์และธิดาเจ้าคุณพิชัยวัยเด็ก นักร้องหนุ่มวายุกับเด็กหัวจุกซึ่งพลัดมิติมา(ซึ่งบทสนทนายังไม่แนบเนียนพอ เด็กสมัยนี้ควรรู้จักโทรศัพท์มือถือดีกว่าผู้ใหญ่ด้วยซ้ำ ดูเจตนาไปที่จะถามว่าไม่รู้จักโทรศัพท์มือถือหรือ) และบทสัมภาษณ์อาจารย์พิมานก็ดูบรรจงสร้างเช่นเดียวกัน ที่อะไรก็เพื่อประโยนชน์ของสังคม (นักโบราณคดีจ๋าคงอึดอัดหน่อยที่อาจารย์ค้าแอนทีคโบราณวัตถุด้วย)
และจากจังหวะการเดินเรื่องแต่ละตอนสั้นๆ จึงทำให้การสลับบทของแต่ละตัวละครไม่ทันยืดยาวจนอาจจะเบื่อ ที่สะดุดจนออกนอกหน้าคือดนตรีประกอบ เพลงบรรเลงหลักแทบไม่เว้นช่องว่างให้หนังได้หายใจ และผู้กำกับน่าจะรู้ดีว่า จังหวะทำนองหนึ่งๆไม่อาจใช้รองรับทุกๆภาพทุกๆช่วงตอนซึ่งอารมณ์แตกต่างกันไปนานาได้
ขอดูต่ออีกสักห้าตอนสิบตอน เพลาหน้าจะได้มาคุยกันยาวๆใหม่.
…
อารักษ์