“จริงๆ โชคของเราหมดไปตั้งแต่ดีทูบีแล้วล่ะ
เราน่าจะใช้โชคครั้งนั้นไปมหาศาล หลังจากนี้เหมือนว่าเราได้สิ่งนั้นมาแล้วจะทำยังไงให้มันอยู่กับเรานานที่สุด
ทุกวันนี้ก็เข้าสู่โหมดความจริงมากขึ้น”
—-
แดน-วรเวช ดานุวงศ์
เชื่อว่าถ้าพูดถึงชื่อนี้หลายคนคงจะนึกถึงภาพบอยแบนด์ในตำนานอย่าง ดีทูบี ทว่าอีกมุมหนึ่งก็ต้องยอมรับว่าศิลปินวัย 30 ปีคนนี้ผ่านงานในวงการมาอย่างโชกโชน ไม่ว่าจะเป็นนักร้องเดี่ยว นักแต่งเพลง นักแสดง นักเขียน ผู้กำกับ ผู้จัด โปรดิวเซอร์ มิวสิคไดเรกเตอร์
และล่าสุดกับ ‘คิวชู เดอะ ซีรีส์’ ที่เพิ่งจบไปทางช่อง 24 ทรูโฟร์ยู บ้านหลังใหม่ที่เขาเซ็นสัญญา 3 ปี เพื่อทำงานทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง
“ถือเป็นเรียลิตี้ซีรีส์เรื่องแรกในวงการทีวีดิจิตอลไทย” แดนบอกอย่างภูมิใจ
ก่อนอธิบายเพิ่มว่าซีรีส์เรื่องดังกล่าวเคยฉายในรูปแบบภาพยนตร์เมื่อปลายปีก่อนในชื่อ ‘คิวชู…แล้วพรุ่งนี้เราคงจะรู้กัน’ โดยเป็นการตามติดชีวิตแดนและ เอ๊ะ ละอองฟอง- พงศ์จักร พิษฐานพร ที่รวมตัวเฉพาะกิจในนาม ซังคิวแบนด์ กับภารกิจใช้ชีวิต 1 เดือนในเกาะคิวชู ประเทศญี่ปุ่น ด้วยเงินติดตัวเพียง 990 เยน
“ต้องหาที่กิน หาที่นอน ร้องเพลงข้างถนนเพื่อขายซีดี จะได้มีเงินอยู่ในวันต่อๆ ไป ต้องถ่ายทำกันเองด้วย”
“5 วันก็อยากกลับบ้านแล้วครับ (หัวเราะ) มันเหนื่อยเกินกว่าที่เราคิดไว้เยอะมาก” เขายอมรับ
ด้วยเริ่มแรกคิดเพียงต้องการทำตามฝันที่อยากเป็น ‘สตรีตซิงเกอร์’ ทว่า “พอเราเป็นเจ้าของโปรเจ็กต์มันจะมีความกังวลเยอะ ฟุตเทจจะโอเคไหม เสียงเข้าหรือเปล่า แล้วความที่เป็นซีรีส์ยังไงก็ต้องหาจุดพีคของมันเพื่อให้คนติดตามตอนต่อไป แต่เรียลิตี้มันกำหนดอะไรไม่ได้เลย มันไม่มีบท ก็ต้องปล่อยให้มันเป็นไปแล้วมาวัดกันที่โพสต์โปรดักชั่น”
แน่นอนว่านอกจากได้ทำตามฝันแล้ว โปรเจ็กต์นี้ยังทำให้เขารักดนตรีมากขึ้นกว่าเดิม เพราะได้สร้างรอยยิ้มให้คนต่างแดนด้วยเสียงเพลง แถมยังเปลี่ยนแปลงทัศนคติบางอย่างของตัวเองด้วย
“เมื่อก่อนเราจะเน้นเอ็นเตอร์เทนคนข้างหน้าเป็นหลัก แต่วันที่ไปญี่ปุ่นมันทำไม่ได้ เพราะไม่มีคนยืนฟัง”
“ก็ต้องคิดมุมกลับว่าเราต้องมีความสุขกับตัวเองให้ได้ ย้อนกลับมานั่งฟังเสียงกีตาร์ของตัวเอง ร้องเพลงให้ตัวเอง ให้พี่เอ๊ะฟัง แล้วก็ยิ้ม มีความสุขกับมัน แล้วจะมีคนเข้ามาเอง”
“มันทำให้ผมคิดถึงวันแรกๆ ที่เริ่มจับกีตาร์นะ เรานั่งเล่นคนเดียวก็มีความสุขนี่หว่า ไม่จำเป็นต้องกดดันหรือซีเรียสว่ามีคนดูหรือเปล่า เพราะช่วงแรกเราคิดแบบนั้นไง” แดนบอกด้วยรอยยิ้ม
เมื่อถามถึงสิ่งที่เปลี่ยนไปในวัยเลข 3 เขาบอกตรงๆ ว่ามีเยอะ เป็นต้นว่า มีระเบียบแบบแผนมากขึ้น ความฟุ้งซ่านลดลง
“ในวันหนึ่งเราไฟแรงมากๆ อยากทำไปหมดทุกอย่าง โดยไม่ได้คิดถึงว่าสิ่งที่ทำมันคุ้มค่าไหม จะเกิดผลกระทบต่อสภาวะการเงินทางครอบครัวหรือต่อเพื่อนฝูงหรือเปล่า ทุกวันนี้คิดมากขึ้น”
อย่างในอดีตนั้นเคยลงทุนทำหนัง มิวสิกวิดีโอ และโฆษณาเองหมด จนเจ็บตัวไปหลายคราว
“มันคือความบ้าระห่ำของเราในวันนั้น” บอกพลางยิ้มกว้าง
“ผมเป็นประเภทเจอปัญหาแล้วชนเลย ชนเพื่อให้รู้ คือเราใช้ตัวเองเป็นประสบการณ์ เจออะไรก็เจ็บเองเรียนรู้เอง วันนี้เราโตขึ้นทำให้รู้ว่าชีวิตไม่ต้องแลกขนาดนั้น เราสามารถถามคนที่มีประสบการณ์หรือค่อยๆ ศึกษาไป มันจะเจ็บน้อยลง”
กับข้อครหาว่าเป็น ‘เด็กเส้น’ จนได้ทำงานเกือบทุกด้านในวงการบันเทิงนั้น แดนอธิบายว่า “มันมาจากผลของสิ่งที่เราทำ”
“ผมไม่ได้บอกว่าตัวเองเก่งนะ เราแค่ตั้งใจในสิ่งที่ทำทุกๆ ชิ้นเท่านั้นเอง ในยุคนี้ความเก่งก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่มันไม่สำคัญเท่าความตั้งใจในการทำงาน มันคือสิ่งที่ผู้บริหารจะมองและเลือกพนักงานมาทำงาน”
ซึ่งเขาเชื่อว่านี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้สามารถอยู่ในวงการมานานนับ 15 ปี
“จริงๆ โชคของเราหมดไปตั้งแต่ดีทูบีแล้วล่ะ เราน่าจะใช้โชคครั้งนั้นไปมหาศาล หลังจากนี้เหมือนว่าเราได้สิ่งนั้นมาแล้วจะทำยังไงให้มันอยู่กับเรานานที่สุด ทุกวันนี้ก็เข้าสู่โหมดความจริงมากขึ้น”
“เคยคิดจะไปทำอย่างอื่นหลายครั้งนะ ลองทำบริษัทขายของบางอย่างแล้วด้วย แต่มันไม่ใช่”
สุดท้ายจึงเข้าใจว่างานในวงการบันเทิงนี่ล่ะคือสิ่งที่ชอบ
เมื่อถามถึงสิ่งที่อยากทำในวงการ เขาตอบทันทีว่า ตั้งแต่วันที่ได้เป็นโปรดิวเซอร์และผู้กำกับหนังนั่นก็คือไปถึงที่สุดของความฝันแล้ว
ดังนั้น ทุกวันนี้จึงไม่ตั้งเป้าอะไรมากไปกว่า “อยากเป็นคนรวย”
อาจฟังดูน่าหมั่นไส้ แต่เมื่อได้ยินประโยคถัดมาก็เข้าใจได้
“คือผมอยากมีเวลาให้พ่อแม่ เพราะทุกวันนี้ไม่ค่อยได้คุยกัน ลงจากบ้านกอดกันแล้วก็ไป กลับมาก็หลับ ชีวิตหลังจากนี้ผมอยากให้เขาหมดเลยด้วยซ้ำ มันเลยเป็นเหตุผลว่าทำไมผมต้องทำอะไรเยอะแยะขนาดนี้ตอนอายุ 30 เพราะผมอยากให้ชีวิตสำเร็จมากที่สุด ตั้งใจว่าอายุ 35 ก็จะหยุดแล้วครับ”
เมื่อถูกถามย้ำว่าเหลือเวลาอีกไม่กี่ปีแล้วจะทำทันหรือ? เขาตอบกลับด้วยเสียงมุ่งมั่น “คิดว่าจะทำให้ได้”
“ถ้ามันเป็นฝันที่ชัดเจนจริงๆ เรามองเห็นอนาคตก่อนอยู่แล้ว”
“สมมุติมีคนชวนไปขึ้นดอยอินทนนท์ เราก็ต้องรีเสิร์ชข้อมูลก่อนว่าข้างบนมีอะไร ไปตั้งแคมป์แล้วจะโอเคไหม มันจะสวยไหม ถ่ายรูปได้หรือเปล่า ไปกับใครดี ต้องพิจารณาตัวเองก่อนที่จะตัดสินใจเดินขึ้นข้างบน เพราะเรารู้อยู่แล้วว่ามันต้องเหนื่อย”
“นั่นแหละคือสิ่งที่ผมทำกับความฝันตัวเอง”
“คิดและคำนวณก่อนว่าถ้าไปแล้วแฮปปี้นะ แต่ถ้าคิดว่าไปแล้วเฉยๆ ว่ะ ก็ไม่ไป ไม่ต้องเหนื่อย”
แต่ถามว่ามีฝันไหนบ้างที่คิดแล้วตัดสินใจไม่ทำ แดนตอบทันทีว่ายังไม่มี
“เพราะถ้าฝันแล้วก็ต้องไปให้ถึงครับ”
—-
ระยะทาง ‘รัก’
แม้จะเป็นคู่รักต่างวัยที่ไม่ค่อยโชว์สวีตมากนัก แต่นับๆ ดูหนุ่มแดนก็คบกับนักแสดงรุ่นน้อง แพทตี้-อังศุมาลิน สิรภัทรศักดิ์เมธา มานานกว่า 6 ปีแล้ว
เมื่อถูกถามถึงอนาคต แดนตอบยิ้มๆ ว่าไม่ได้ตั้งเป้าอะไร
“ศึกษากันไปเรื่อยๆ เพราะความรักต้องใช้เวลา”
“ผมไม่ได้มองว่าจุดสิ้นสุดของความรักคือการแต่งงาน เพราะความรักมันเริ่มตั้งแต่วันที่เราเจอกันแล้ว จะอยู่ยังไงต่อไปเท่านั้นเอง”
บอกอีกว่าสำหรับเขาแล้ว ความรักคือการมีใครสักคนคอยเป็นกำลังใจและซัพพอร์ตซึ่งกันและกัน
ซึ่ง “ในวันที่ผมเหนื่อย เขา (แพทตี้) ก็ทำให้ผมมีรอยยิ้ม มีเสียงหัวเราะได้”
“เท่านี้ก็ตอบโจทย์ละ”
สั้นๆ แต่หวานมาก