โลกซึ่งเปลี่ยนสี และเรื่องที่ขวัญ อุษามณี ต้องมองข้าม

เอาเข้าจริง ขวัญ-อุษามณี ไวทยานนท์ บอกว่าบทของ ‘ติ๊ยา’ ลูกสาวที่พ่อประคบประหงมราวไข่ในหิน คุณหนูผู้มีโลกสวย ร่ำรวย เป็นไฮโซ แต่ขณะเดียวกันก็ติดดินและมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ในละคร “ไฟหิมะ” ที่กำลังแพร่ภาพทางช่อง 7 ทุกวันศุกร์-อาทิตย์ หลังข่าวภาคค่ำนั้น มีส่วนที่เหมือนกับชีวิตของเธออยู่บ้าง

โดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวกับพ่อ “คุณพ่อที่ปกป้องเรา ห่วง คอยดูแล คอยสอน”

และเรื่องของการมองโลกสวย

“ตอนเด็กขวัญมีโลกที่งดงาม โลกที่เป็นสีชมพู เมื่อก่อนจะมองทุกคนจิตใจดี มองทุกอย่างสวยงามไปหมด”

Advertisement

แต่ตอนนี้ โลกของเธอเปลี่ยนสีแล้ว

กับ “ไฟหิมะ” ขวัญบอกว่า นี่เป็นละครที่ “มีเสน่ห์”

“คนดูไม่สามารถคาดการณ์ได้ ว่าเรื่องราวข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น”

Advertisement

นั่นคือ แม้อาจจะเดาได้ว่า อย่างไรเสียก็ ‘แฮปปี้ เอ็นดิ้ง’ “แต่ก่อนจะจบแบบนั้น มีดีเทลซึ่งค่อนข้างจะคาดไม่ถึง”

“แล้วเรื่องไม่ได้อยู่ที่พระเอก นางเอก ความสำคัญของตัวละครทุกตัวเท่ากันหมด ทำให้ละครมีมิติ มีเหตุผล”

คนเขียนบทเก่ง-นักแสดงสรุปอย่างนั้น

“คนดูไม่สามารถคาดเดาได้ ว่าตัวละครข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น”

“ตอนแรกๆ อาจจะเป็นโรแมนติกคอมมิดี้ แต่ว่าตอนหลังขวัญว่าเหมือนชีวิตคนนะ ที่ต้องมีสนุกบ้าง มีความสุขบ้าง มีจุดพีคบ้าง ชีวิตเรามันกลม ไม่ได้รับแค่ความรู้สึกเดียวอยู่แล้ว”

เธอเองก็เช่นกัน

ด้วยเหตุนี้หลังจากเจอนั่น โน่น นี่ ในวัย 31 ปี ณ ปัจจุบัน ขวัญจึงบอกว่า เธอมองโลกในลักษณะของความเป็นจริงมากขึ้น

การมอง ‘คน’ ก็เช่นกัน

“ไม่ใช่เสียศรัทธาความดีนะคะ” ออกตัวอย่างนี้ แล้วก็ยิ้ม

“ยังศรัทธาความดี ที่เขามาดีกับเราอยู่ แต่ในขณะเดียวกันต้องดูว่าเขาต้องการอะไรเป็นสิ่งตอบแทน”

ความเปลี่ยนแปลงนี้ นางเอกคนดังบอกว่าเพิ่งเกิดกับเธอเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา

“ก็พอเริ่มทำธุรกิจน่ะค่ะ”

“ถ้าอยู่ในวงการ พบเจอเรื่องอะไรก็แล้วแต่ จะมีผู้ใหญ่ที่คอยสอน แล้วทำให้แก่นของเราแข็งแรงขึ้น ในวงการขวัญจึงไม่ห่วง รู้สึกว่ามีผู้ใหญ่ที่ฟัง ที่เชื่อเรา แล้วคนรอบข้างรู้เห็น แต่ในโลกธุรกิจที่แปลกใหม่สำหรับขวัญ ทุกวันของขวัญต้องเรียนรู้ไปหมด”

สนุกและมีความสุขก็จริง หากก็มีหลายสิ่งต้องระมัดระวัง

“ชีวิตขวัญจริงๆ ก็เหมือนผู้หญิงทั่วไปทุกคนค่ะ แล้วตอนนี้ก็ไม่ได้ใช้ชีวิตเด็กเหมือนเมื่อก่อน เมื่อก่อนเราทำทุกอย่างตามความสบายหมด แต่ตอนนี้ต้องมองถึงวันข้างหน้า ต้องเตรียมว่า 6-7 ปีที่กำลังจะเกิดขึ้นเราจะดูแลชีวิตยังไง ดูแลพนักงาน ดูแลครอบครัว ที่สำคัญขวัญมีหลานแล้ว ต้องเป็นที่พึ่งของหลานให้ได้”

ที่ห่วงไปถึงชั้นหลาน ทั้งๆ ที่ความจริงครอบครัวของ ลูกแก้ว พี่สาวก็ไม่ได้ลำบาก ขวัญว่าคงเพราะ “มันเป็นมาตั้งแต่เด็ก แล้วมีความสุขกับตรงนั้น”

ขณะเดียวกัน “ไม่ใช่ว่าทุกคนไม่ซัพพอร์ทขวัญนะ”

“ทุกวันนี้ขวัญเหนื่อย แต่ขวัญมีเป้าหมายว่าทำงานไปเพื่ออะไร คือทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ ครอบครัวเราสบาย ไม่ได้ทำให้รวย แต่พอมี พอกิน พอใช้ ไม่มีหนี้ แค่นี้ขวัญว่ารวยสำหรับขวัญแล้ว”

ถามว่าถึงตอนนี้ รวยหรือยัง?

“ยัง” ตอบทันควันพร้อมหัวเราะ

ถามไปว่าคนที่เริ่มต้นทำงานตั้งแต่อายุราว 3 ขวบอย่างเธอ ตั้งใจจะทำงานไปถึงอายุเท่าไหร่

คำตอบที่เธอให้คือ “เมื่อขวัญมีครอบครัว แล้วสามีสามารถดูแลได้ ขวัญก็จะถอนไปมีบทบาทของความเป็นแม่ แต่เก็บในเรื่องการทำธุรกิจเอาไว้”

อย่างไรก็ดี เมื่อถามว่าใกล้ถึงวันนั้นหรือยัง คำตอบมาพร้อมเสียงหัวเราะคือ “น่าจะยังค่ะ”

“ทุกสิ่งทุกอย่างขวัญว่าต้องเรียนรู้กันไป การมีครอบครัวเป็นเรื่องที่หนัก แล้วขวัญมีเป้าหมายสูง เพราะอยากมีครอบครัวเหมือนที่คุณพ่อคุณแม่สร้างมา ความรักคุณแม่คุณพ่อมั่นคง แล้วก็ทำให้เราเติบโตมาอย่างมีความสุข”

“ซึ่งในอนาคตจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ขวัญไม่ทราบ แต่ถ้าขวัญมองย้อนกลับไป จะได้รู้สึกว่าเราทำให้เขาเต็มที่แล้ว ถ้าเกิดวันหนึ่งมันไม่เวิร์ก เราจะได้ไม่ต้องมานั่งรู้สึกช้ำใจ ว่าเราน่าจะทำอันนู้น เราน่าจะทำอย่างนี้”

ฐานะที่เป็นคนดัง มีชีวิตอยู่ท่ามกลางสปอตไลต์ ขวัญบอกว่าเธอทำใจมานานแล้ว ว่าอย่างไรเสียก็ต้องเจอเสียงวิจารณ์

“ก็ฟังค่ะ” ขวัญบอก

“ขวัญว่าเป็นสิ่งที่ดีด้วยซ้ำ คือเป็นเรื่องที่ไม่ได้ขาดทุนอ่ะ เป็นกำไรด้วยซ้ำ ในการที่คนอื่นมาพูดเกี่ยวกับเรื่องขวัญ เพราะเราได้เห็นทางแยก ทางเลือกว่าจะไปทางไหน แล้วแบบไหนที่ไม่ใช่ เราก็แค่ตัด”

“คือเขาก็แค่ไม่รู้ แค่อยากมีส่วนในชีวิตเรา แค่นั้นเอง”

“มันเป็นความรู้สึกที่มี 2 แบบ ถ้าดี เขาก็อยากมีแชร์ เอ็นดู เมตตา กับแบบที่ฉันไม่ชอบ ฉันเกลียดเธอ เราก็ตัดไป เพราะมันไม่ได้มีผลอะไรกับชีวิตเรา”

“ขวัญก็พยายามไม่ยุ่งกับคนที่ไม่ชอบ คือขวัญไม่สามารถเข้าถึงจิตใจเขาได้ คุยกับเขานอบน้อมก็แล้ว ฟังความเห็นก็แล้ว ก็ไม่หยุด หรือบางคนมีกิริยามารยาทที่ไม่สมควร ขวัญก็คิดว่าถ้าเกิดเขาเป็นปัญญาชนหรือว่ามีวุฒิภาวะ คงไม่แสดงอาการทางอารมณ์แบบนี้ เราก็ได้แค่มองข้าม หรือไม่ก็ให้เขาอยู่ในที่ของเขา เรากันได้ไหม เราก็ทำแค่นั้น”

ขณะเดียวกันยังรู้สึกด้วยว่า หลายเรื่องที่โดนวิพากษ์วิจารณ์อาจมาจากความไม่รู้ ซึ่ง “คนไม่รู้ไม่ผิด”

“แต่เราก็ไม่สามารถให้ใครมารับรู้ชีวิตเราได้ นอกจากคนที่อยู่ในชีวิตเราจริงๆ แล้วค่อยซึมซับกัน”

ดังที่เป็นมาตลอด

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image