‘ดี้ นิติพงษ์’ เล่าเรื่องราวสุดซึ้งถึง ‘รอยแย้มพระสรวลแห่งเมตตา’ ของ ‘สมเด็จพระราชินีนาถ’

“ไม่รู้ฉันเคยเล่าเรื่องนี้หรือเปล่าแม่ประไพ…” ดี้ – นิติพงษ ์ห่อนาค ขึ้นต้นไว้อย่างนี่้ ในเฟซบุ๊ก Nitipong Honark เมื่อเช้าที่ผ่านมา

ก่อนจะเขียนต่อว่า

“ฉันเคยเล่าให้เพื่อนฟังบ้าง เล่าให้น้องๆ ฟังบ้าง…แต่จำไม่ได้ว่าเคยเล่าให้แม่ประไพฟังไหม…

…แต่ถ้าเคยเล่าแล้ว ฉันก็ขอเล่าอีกละกัน…อย่าถือสาเลย..

Advertisement

เมื่อสี่สิบกว่าปีที่แล้ว…วัดทุกวัดที่ต้องมีการยกช่อฟ้าอุโบสถใหม่ในประเทศไทยเรานี้ ผู้ที่จะเป็นผู้กดปุ่มยกช่อฟ้าไปติดบนยอดอุโบสถ มีพระองค์เดียวเท่านั้น คือ พระเจ้าอยู่หัว..และตามเสด็จด้วยพระราชินี และพระเจ้าลูกยาเธอ พระเจ้าลูกเธอ…

…ตอนนั้นฉันอายุประมาณสิบสองขวบ ได้ยินข่าวว่า ในหลวงจะเสด็จมาพร้อมพระราชินี ที่วัดแถว ๆ อำเภอบ้านหมี่ มายกช่อฟ้า ฉันก็ชวนเพื่อนนั่งรถไปเลย จากอำเภอเมือง ไปถึงบ้านหมี่นี่ก็ไกลมากสำหรับเด็กสิบสองขวบ หลายสิบกิโลอยู่….

…มีที่นั่งกับพื้นตามรายทางที่จะเสด็จ มีเชือกกั้น ฉันก็ได้ไปอยู่แถวหน้าเชือกกั้นกับเพื่อน…

Advertisement

ถึงเวลาเสด็จ..ในหลวงก็เสด็จมาตามลาดพระบาท มีพระราชปฏิสันถารกับชาวบ้านสองข้างทางเดิน…

ในเวลานั้น ฉันเป็นเด็กพิการนิดหน่อย ตาซ้ายเสีย ใส่ตาปลอมพลาสติก แต่ยังดูไม่เรียบร้อย ตาโปนออกมาผิดปกติ ดูผิดสังเกตมาก…

ในหลวงเสด็จพระราชดำเนินผ่านไปปฏิสันถารกับราษฏรอีกฝั่งของทางเดิน…ส่วนสมเด็จพระราชินีนาถ สังเกตเห็นฉัน ว่าฉันไม่ปกติ..

จึงทรงหยุด…แล้วทรุดพระวรกายลงนั่ง ทอดพระเนตรมาที่ฉัน…

“ตาเป็นอะไรจ๊ะ….”

“ตาเสียครับ…”……ในเวลานั้นฉันตอบฉลาดกว่านี้ไม่ได้เลย

ในเวลาเดียวกันนั้น พระธิดา เจ้าฟ้าสิรินธร กับเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ ก็ทรงย่อพระองค์ลงขนาบซ้ายขวาพระมารดา แล้วทอดพระเนตรมาที่ฉันคนเดียว

“ชอบเรียนหนังสือไหม”….พระราชินีทรงถามเด็กชายอายุสิบสอง

“ชอบครับ”….

“ดีละ…ตั้งใจเรียนให้เหมือนลูกสาวฉันสองคนนี้นะ จะได้เรียนให้เก่งๆ ”

แล้วทั้งสามพระองค์ก็ทรงลุกขึ้น ตามเสด็จพระราชดำเนินในหลวงต่อไป…

มันลืมไม่ได้ดอกแม่ประไพ…จำได้แบบไฮเดฟินิชั่นเลย…

จำพระเนตรแห่งเมตตาได้…ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้…

จนผ่านไปสี่สิบปีกว่า…จากเด็กบ้านนอก มาถึงวันที่เติบโตเป็นที่ยอมรับ ก็ได้รับเชิญไปดูโขนพระราชทาน เมื่อหลายปีมานี่เอง…

บัตรเชิญที่ได้รับอยู่ตรงแถวติดกับทางเสด็จพระราชดำเนิน…ก็จะได้เข้าเฝ้าใกล้ชิด เวลาทรงเสด็จผ่านที่นั่งของฉัน ซึ่งอยู่สูงกว่าทางเดิน ก็คือ ที่นั่งของฉันต้องสูงกว่า เวลาท่านเสด็จผ่านที่นั่งของฉัน…ท่านจะอยู่ต่ำกว่า…

แล้วพระราชินีท่านก็เสด็จพระราชดำเนินผ่านที่นั่งของฉันที่สูงกว่า แล้วเงยพระพักตร์มาแย้มพระสรวลให้ ในระยะไม่เกินสองเมตร…

ฉันตัวลีบ….ที่สุดเท่าที่จะลีบได้แล้ว…

แต่จำได้เลยว่า นี่คือ รอยแย้มพระสรวลแห่งเมตตา ภาพเดียวกันกับที่ฉันเคยได้รับตอนเมื่อสี่สิบปีก่อนนั้น ไม่ต่างกันเลย….

อีกเรื่องคือเรื่องเล่าจากปากของท่านผู้หญิงที่เป็นนางสนองพระโอษฐ์… คนไทยกี่คนจะรู้…ว่า พระราชินี ทรงต้องกระโดดจากเฮลิคอปเตอร์ ที่สูงเกือบสองเมตรเหนือพื้นดิน เพราะหญ้าในป่ามันสูง จนเฮลิคอปเตอร์ลงไม่ได้…

เพื่อจะไปช่วยพวกผู้อพยพ ในฐานะองค์สภานายิกาสภากาชาดไทย…

เห็นที่ทรงต้องดูดีงาม เพื่อรักษาภาพราชินีของคนไทย ด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ไทย….

แต่มีคนไทยไม่มากหรอก ที่จะรู้ว่า พระแม่ราชินีของเรานี่ ทรงลำบากอะไรที่เราไม่เคยรู้เลย…

อยากให้คนไทยได้รู้เสียจริง

ให้รู้ว่า เรามีพระราชินีที่เมื่อถึงเวลาสง่างามก็สง่างาม เมื่อถึงเวลาที่ต้องกระโดดลงจากเครื่องบินก็ทรงทำ ถึงเวลาที่ทำงานหนักก็ต้องทำ

คนไทยเอย…บอกเลยนะ ถ้าวันนี้ในหลวงกับพระราชินี ไม่ต้องทรงต้องแบกภาระหน้าที่ขนาดนี้…ท่านคงจะทรงพระสำราญมากนักแล้ว

ในโลกนี้ไม่มีพระราชาองค์ใด สมบุกสมบันขนาดนี้

และ ไม่มีพระราชินีองค์ใด ที่ต้องทรงพลอยสมบุกสมบันขนาดนี้ด้วย

คำว่าทรงพระเจริญ…พูดได้ตามความเหมาะสม…

แต่วันนี้…ฉันอยากพูดคำว่า….

นอกจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราจะขอร้องให้ช่วยดูแลพระพ่อพระแม่ของเรา

ฉันอยากให้…คนไทย หันกลับไปดูแลองค์พ่อองค์แม่ของเราให้มากที่สุด…

คนดี ๆ เรายังอยากเอาใจช่วยเลย…

แต่นี่คือ พ่อแม่ของเราและคนทั้งเมือง…ซึ่งมีแต่ให้…

ช่วยกันดูแลพ่อแม่หลวงเรากันนะ”

 

ขอบคุณภาพจากเฟซบุ๊ก Nitipong Honark 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image