‘มิน พีชญา’ เนื้อหอม ผู้จัดส่งบททาบทามเพียบ แจงถอนตัวละครช่อง7 เพราะผู้ใหญ่ขอ
หลังจากที่ช่อง 7 ได้ร่อนจดหมายอัพเดตรายชื่อนักแสดงที่ไม่ได้ต่อสัญญากับช่อง ซึ่งหนึ่งในนั้นมีนางเอกสาว มิน พีชญา วัฒนามนตรี ด้วย ล่าสุดในงานบวงสรวงภาพยนตร์ ‘ไสหัวไป นายส่วนเกิน’ ที่ลานหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิล์ด สาวมินก็ได้มาเปิดใจถึงเรื่องนี้ว่า ตอนนี้ตนอยู่ในสถานะนักแสดงอิสระ ซึ่งสัญญากับทางช่องจะหมดสิ้นปีนี้
“จริงๆ ก็มีการพูดคุยกับทางช่องมากสักพักใหญ่ๆ แล้วนะคะ สุดท้ายผู้ใหญ่ทั้ง 2 ฝ่ายก็ตกลงคุยกันแล้ว ก็แฮปปี้ ก็เป็นอิสระ”
ทั้งนี้เจ้าตัวยอมรับว่าเป็นการตัดสินใจที่ยาก เพราะช่อง 7 ก็เปรียบเหมือนครอบครัว
“บ้านก็คือบ้าน ถ้าวันนึงเราเติบโตไปทิศทางไหนเราก็รักกัน ไม่ว่ายังไงมินก็ยังรับใช้ช่อง 7 ได้เสมอ”
ถามว่าถึงจุดที่เราอิ่มตัวหรือไม่ นางเอกสาวก็ว่า
“ไม่หรอก มันไม่มีอะไรอิ่มตัวทั้งนั้นแหละ โลกมันก็ดำเนินไป โลกมันก็เปลี่ยน ยุคสมัยก็เปลี่ยน โลกปัจจุบันออนไลน์ก็มีผล อย่างที่เราเห็นกัน ข่าวก็ทำในมือถือ ซีรีย์หรือทีวีก็มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ผู้ใหญ่ก็มีการแนะนำกันมาว่าถึงการเปลี่ยนแปลงแล้ว เราก็ไม่ได้ไปไหน เราก็รับใช้ช่อง 7 ได้เหมือนเดิม ทำงานออนไลน์ต่างๆ ได้มากขึ้น ก็จะได้เห็นมินในมุมที่หลากหลายแน่นอน”
หลังจากประกาศว่าเป็นนักแสดงอิสระ มิน พีชญา ยอมรับว่ามีผู้จัดจากหลายช่องได้ติดต่อทาบทามมาเยอะ ซึ่งตอนนี้ตนและผู้จัดการส่วนตัวก็อยู่ในขั้นตอนการคัดสรรบทตามความเหมาะสม
“ตอนนี้เข้ามาเยอะเป็นหลาย 10 เรื่อง”
ส่วนที่มีข่าวว่าจะมีละครกับ บอย ปกรณ์ นั้น มินบอกว่ายังไม่มีคนติดต่อมาอย่างแน่นอน
“ไม่มีค่ะ ยังไม่มี กับพี่บอยมีคนจิ้นมาตั้งแต่สมัยเข้าวงการ คนก็อยากให้เล่นละครด้วยกัน พอเป็นอิสระก็มีโอกาสที่คนจะจิ้นได้ (มีความเป็นไปได้มั้ย แฟนๆ รอดู) ไม่แน่ใจเหมือนกัน ตัวมินยังไม่ทราบข่าวเรื่องนี้ แต่ก็เจอกัน คุยกันตามร้านทำผม เพิ่งเจอกันไม่นาน พี่บอยก็ตลก น่ารักเหมือนเดิม”
ยอมรับหนึ่งในนั้นก็มีช่อง 3 ทาบทามมาด้วย แต่ไม่ได้มีการระบุว่าพระเอกที่จะต้องเล่นด้วยเป็นใคร
“ก็มีส่งบทมาค่ะ แต่ว่ายังไม่ได้ยินชื่อพี่บอยนะคะ มินยังไม่ทราบเรื่องของตัวพระเอกนะคะ รู้แค่เรื่องรายละเอียดบทเท่านั้น หลักๆ น่าจะอยู่ในการคัดสรรบทมากกว่า เพราะว่าเราอยากจะโตและเล่นอะไรที่แตกต่างมากขึ้น อยากให้แฟนๆ ที่ติดตามและให้กำลังใจมินได้เห็นพัฒนาการที่มากขึ้นในด้านของการแสดง”
“เป็นไปได้กับทุกช่องเลยค่ะ เพราะตอนนี้คำว่าอิสระคือรับใช้ได้ทุกคน”
กับกระแสที่ออกจากช่องแล้วจะโดนครหาง่าอกตัญญูนั้น มินบอกว่าเข้าใจว่าเป็นเรื่องของความคิดเห็นที่จะเกิดขึ้นได้ตลอด
“ตัวมินเองอยากจะออกมาพูดกับแฟนๆ ที่ติดตามมินมาตลอด อยากจะพูดด้วยความจริงใจไม่มีกั๊กว่าเราเข้าใจของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ในอดีตเคยเป็นมาอย่างไรเราไม่เคยลืม ไม่มีช่อง 7 ก็ไม่มีมินในวันนี้ ถามมินว่าใจหายมั้ย คือใจหายมาก วันนั้นที่ไปคุยกับผู้ใหญ่ ก็น้ำตาคลอ บ้านก็คือบ้าน ไม่ว่าจะไปไหนเราก้ยังคงรักครอบครัวนี้เสมอ มินรู้สึกว่าเราเติบโตและพัฒนาก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกัน ถามว่าเริ่มมีด้านลบมายัง ไม่มีค่ะ แต่ถ้าวันนึงมีก็ไม่เป็นไร เราอยากโอบกอดแฟนคลับเรา เราเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลง เราเคารพในทุกๆ สิทธิ์ที่ออกเสียง”
หับกรณีที่มีข่าวว่าก่อนที่จะหมดสัญญามิน ต้องเล่นละครกับ โก้ วศิน เป็นเหตุทำให้มินไม่ต่อสัญญา มินก็ชี้แจงว่า
“ละครเรื่องนี้ดีมาก แต่ก็อยากจะอธิบายอยู่แล้ว ละครเรื่องนี้ติดต่อกันมาตั้งแต่ต้นปี แล้วเจอโควิด ต้องหยุดถ่ายทำกันไปครึ่งปี คุยอะไรกันเสร็จหมดแล้ว ลงตัวแล้ว พอจะเปิดกล้อง ผู้ใหญ่ก็เรียกเข้าไปคุยปรึกษากันในเรื่องของมุมมองต่างๆ และรูปแบบงานที่เราจะทำในอนาคตต่อๆ มา”
“กับโก้ วศิน เป็นน้องที่น่ารักมาก ยังคุยกัน แลยังรักโก้เหมือนเดิม โก้ยังเล่นตลกบอกให้พี่มินกลับมา (หัวเราะ) เรารู้สึกว่า บทบาทหรือการสวมหมวกของงานมันต้องดำเนินไปตามบทบาทชีวิตต่างๆ แต่ความสัมพันธ์ส่วนตัวเรายังเหมือนเดิม เรายังจริงใจ เคารพการตัดสินใจ และยังรักทุกคนเหมือนเดิม”
ความจริงแล้วตนก็ยังอยากที่จะโชว์สปิริตในการที่จะเล่นต่อด้วยซ้ำ โดยได้ยืนยันกับผู้ใหญ่ว่ายินดีที่จะเล่นเต็มที่และทำหน้าที่นักแสดงเต็มที่เหมือนเดิม
“ผู้ใหญ่มีการแมสเสจมาหาทางผู้จัดการมินค่ะบอกว่าขอให้มินถอนตัว อาจจะเป็นเหตุผลที่ผู้ใหญ่เค้าคำนวนมาแล้ว เราก็เคารพการตัดสินใจ เราก็ได้เลย เพราะผู้ใหญ่สั่งซ้ายไปซ้าย สั่งขวาไปขวาตลอด”
“กขอบคุณช่อง 7 นะคะที่ให้โอกาสมินตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ก็เป็นเวลา 10 ปีแล้ว ที่มินได้ลองอะไรหลายๆ อย่างมากมาย รวมถึงบทบาทที่ได้เห็นพัฒนาการของมินจากวันแรกจนถึงวันนี้ ก็ขอบคุณช่อง 7 ขอบคุณผู้ใหญ่ทุกคนที่ให้การสนับสนุนมินมาตลอด มินยังยินดีทำงานกับช่อง 7 เหมือนเดิม ขอบคุณแฟนๆ ทุกคนที่เป็นกำลังใจให้ได้ และอยากจะบอกว่าเข้าใจทุกคนที่วันนี้มันมีการเปลี่ยนแปลงก็หวังว่าจะสนับสนุนมินเหมือนเดิมในอนาคตเนอะ”
