เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 30 กันยายน ที่ห้องกมลทิพย์ บอลรูม 2 โรงแรม เดอะ สุขโกศล กรุงเทพ ซีพี ออลล์ ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น จัดงานรับโล่พระราชทาน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี รางวัลหนังสือดีเด่น “เซเว่นบุ๊ค อวอร์ด” ครั้งที่ 13 ประจำปี 2559 โดยมี นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี เป็นประธานในพิธี พร้อมแสดงปาฐกถาพิเศษและเป็นผู้มอบรางวัล
โดย นายก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ. ซีพี ออลล์ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 13 ปี ของการดำเนินโครงการประกวดหนังสือดีเด่นรางวัลเซเว่นบุ๊ค อวอร์ด ได้คัดสรรหนังสือดีมีคุณภาพทั้ง 7 ประเภทสู่สังคม โดยมีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมนักเขียนคุณภาพ สนับสนุนผลงานที่มีเนื้อหาจรรโลงสังคม และส่งเสริมให้เยาวชนพัฒนาตนเองด้านการอ่าน
“เวทีนี้ถือเป็นเวทีสำคัญเวทีหนึ่งสำหรับวงการนักเขียนไทย โดยได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มนักเขียน นักอ่าน ทั้งนี้การอ่านถือเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างความรู้ให้สังคมมไทยอุดมปัญญา องค์ความรู้ต่างๆ ที่เกิดจากการอ่านและผลงานเขียนที่มีคุณภาพจะเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาคน และนำไปสู่การพัฒนาประเทศชาติต่อไป” นายก่อศักดิ์ กล่าว
ขณะที่ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ได้ขึ้นกล่าวปาฐกถาพิเศษด้านการอ่านว่าวันนี้พูด 3 เรื่อง คือ 1.การเปลี่ยนแปลง 2.การปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลง 3.การเข้าสู่โลกยุคใหม่หลังการปรับตัวแล้ว ทั้ง 3 สภาวะเป็นการท้าทายมนุษยชาติมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มนุษย์ทำเอง เกิดจากธรรมชาติที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ในช่วงร้อยสองร้อยปีการเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่มนุษย์ทำ ที่จริงมนุษย์สร้างสรรค์และมนุษย์ก็ทำลายเองด้วย เพราะฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงมีทั้งลบและบวก
“การที่จะเฝ้าติดตามการเปลี่ยนแปลงและดูว่ามันจะไปทางไหน ถ้าใครทำได้หมดจดสละสลวยก็จะได้เปรียบในการปรับตัวและเข้าสู่สมดุลใหม่ หลังนี้นักคิดทั่วโลกเค้าได้สรุปว่ามันมีพลังการเปลี่ยนแปลงอยู่ 4 พลังที่ทำให้มากระทบกับการทธุรกรรมธุรกิจ การดำเนินวิถีชีวิตของคนไม่ว่าจะอยู่มุมไหนก็ตามบนโลกใบนี้” นายแพทย์เกษม กล่าว
นายแพทย์เกษม กล่าวอีกว่า พลังแรกเรารู้กันมานานแล้ว คือพลังที่เกิดจากกระแสโลกาภิวัตน์ พลังที่สองเพิ่งมีมาได้สามสิบสี่สิบปีก็คือพลังที่เกิดจากการเข้าสู่โลกดิจิตอลเทคโนโลยี พลังที่สามเป็นของใหม่เหมือนกันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้เอง คือพลังที่เกิดจาก คือพลังที่เกิดจากการทำธุรกรรมธุรกิจ และพลังสุดท้ายพลังที่สี่ พลังเเห่งการใช้ความรุนแรงความสุดโต่งในการแก้ปัญหา ส่วนใหญ่ที่เรารู้คือแถวตะวันออกกลาง แอฟริกากระทบไปที่ยุโรป บ้านเราก็กระทบด้วยคือสามจังหวัดภาคใต้
“ถ้าเอาพลังทั้งสี่มาอธิบายปรากฏการณ์วงการหนังสือกับวงการอ่าน มีนักคิดกลุ่มหนึ่งเค้าบอกว่ากระแสโลกาภิวัตน์ 1.0 ก็คือปรากฏการณ์เมื่อคริสต์ศตวรรษที่15ตอนที่กองทัพจากจีนไปมหาสมุทรอินเดีย โคลัมบัสเล่นเรือจากตะวันตกไปจรดที่อเมริกาแล้วหลังจากนั้นการเดินทางทางเรือก็มีความสำคัญ เวอร์ชั่น 2.0 เป็นการเดินทางทั่วโลกผ่านทางบก มีรถ มีถนนเชื่อมกันไปหมด มาถึงช่วง 3.0 การเดินทางทางอากาศ ส่วนเวอร์ชั่นที่ 4 คือการติดต่อทางเทคโนโลยีเชื่อมโยงคนทั้งโลกเพียงชั่วเวลาไม่กี่วินาที ทั้ง 4 เวอร์ชั่นนี้ไม่ว่าจะเวอร์ชั่นไหนก็เปลี่ยนวิถีชีวิตการค้าการขาย” นายแพทย์เกษม กล่าว
นายแพทย์เกษม กล่าวอีกว่า ส่วนอันที่สองชัดเจนเป็นพลังที่เปลี่ยนโลกได้ทั้งโลก คนที่อายุเกิน 50 ก็จะบอกว่าเราเป็นคนที่อพยพเข้ามาอยู่ในโลกยุคดิจิตอล คนที่ต่ำกว่า 40 ปีก็ถือว่าเป็นคนพื้นเมืองที่อยู่ในโลกยุคดิจิตอล เป็นช่วงที่พวกฝรั่งเข้าแบ่งกัน อย่างเกาหลีใต้ทหารที่ประจำการต้องใช้คอมพิวเตอร์เป็น อย่างบางประเทศเขาใช้เงินสดเเค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์เพราะส่วนใหญ่เค้าโอนออนไลน์ แต่ประเทศของเราใช้เงินสด98%
“ในวงการหนังสือ การอ่านมันไม่มีแล้วที่จะมานั่งอ่านแบบเดิมๆมันน้อยๆ น้อยจริงๆ ก็หากันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับวงการนักเขียน การอ่าน ก็ตามหากัน ในบางประเทศเขาไม่อ่านหนังสือพิมพ์กันแล้ว โฆษณาต่างๆก็ไม่ลงเพราะไม่มีคนอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ไม่ได้เพราะไม่มีเงินจากโฆษณาหรือคนอ่าน ก็ต้องปิดตัวลง” นายแพทย์เกษม กล่าวและว่า
ส่วนตัวเราก็ต้องปรับตัวไปด้วยให้สมดุลว่าจะไปเป็นยังไงต่อ เป็นโจทย์ที่ยากมาก ถ้าคนรุ่นเก่าๆก็จะมีความยุ่งเกี่ยวกับธรรมชาติ ส่วนคนรุ่นใหม่ๆอายุ 15-25 จะเป็นพวกติดคอมแล้วติดจอ เล่นอยู่แบบนี้ให้ไปไหนก็ไม่ไปหรอก จริงๆ ต้องมีการปรับตัว เราต้องยอมรับการเปลี่ยนเเปลง และปรับตัวให้มันมีสมดุล ทำยังไงให้มันเหมาะสมกับตัวเรา
หลังจากนั้นได้มีพิธีมอบรางวัล โดยสำนักพิมพ์มติชนมีผลงานที่ได้รับรางวัล 2 ผลงาน คือ ข้ามสมุทร โดย นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ประเภทนวนิยาย และ BON VOYAGE! บนเส้นทางข้าแผ่นดิน โดย นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย ได้รับรางวัล รองชนะเลิศอันดับ 2 ประเภทสารคดี
ทั้งนี้ นายวิษณุ กล่าวว่า เมื่อครั้งตัดสินใจเขียนหนังสือเล่มนี้เดิมทีก็ไม่ได้คิดที่จะส่งประกวด หรือ เอารางวัล ซึ่งที่ผ่านมาได้ผ่านความตื่นเต้นกับหนังสือเล่มนี้หลายครั้ง เริ่มตั้งแต่การได้เห็นหนังสือตีพิมพ์หลังจากการชักชวนของสำนักพิมพ์มติชน และล่าสุดก็ยังคงตื่นเต้นกับการได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ที่ต้องผ่านคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมากมาย ซึ่งในอนาคตตัดสินใจแล้วว่าจะยังคงเขียนหนังสือและอยากที่เขียนต่อไป
“ส่วนตัวเชื่อว่าหนังสือที่เป็นรูปเล่มจะยังคงมีอยู่ในสังคมไทยต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง แม้ว่าจะได้รับความนิยมลดลงไปตามยุคสมัย ดังนั้นทุกวันนี้เราจึงต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของวงการหนังสือที่ไปสู่ในรูปแบบใหม่มากขึ้น เตรียมพร้อมรับมือกับคลื่นลูกใหม่ ในขณะที่หนังสือในแบบรูปเล่มก็ควรต้องมีการรักษาและจัดเก็บไว้เป็นอย่างดีเช่นกัน เพราะอย่างปรากฏการณ์นิตยสารสกุลไทยที่เกิดขึ้่นก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาอีกเรื่อยๆ” นายวิษณุกล่าวและว่า ส่วนคนรุ่นใหม่ๆ ที่อยากจะเขียนมองว่าควรเริ่มต้นจากการอ่านก่อน เพราะถ้าไม่อ่านก็ไม่สามารถมีคลังความรู้เอามาเขียนได้ ดังนั้นการอ่านจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
ขณะที่ นายกิตติพงษ์ กล่าวว่า รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ผลงานได้รับรางวัล เพราะส่วนตัวถือว่าเป็นมือใหม่ในเขียนที่ไม่ใช่งานวิชาการ ดังนั้นจึงรู้สึกเป็นเกียรติเป็นอย่างยิ่งที่ผลงานได้รับการยอมรับจากคณะกรรมการ ซึ่งความประทับใจในผลงานชิ้นนี้มากที่สุดคือ การได้ทำให้คนได้เห็นถึงความสำคัญระหว่างลูกกับพ่อ ผ่านความทรงจำที่มีกับพ่อของตนเอง ส่วนอนาคตจะยังมีผลงานออกมาอีกหรือไม่ยังคงต้องหาแรงบันดาลใจในการเขียนงานชิ้นต่อไป
โดยหลังจากนี้ ซีพี ออลล์ เตรียมเปิดรับผลงานจากนักเขียนและสำนักพิมพ์เข้าประกวดครั้งที่ 14 โดยเปิดรับผลงานเขียน 7 ประเภท ได้แก่ ประเภทกวีนิพนธ์ นวนิยาย นิยายภาพ (การ์ตูน) รวมเรื่องสั้น วรรณกรรมสำหรับเยาวชน สารคดี (ทั่วไป) และรางวัลนักเขียนรุ่นเยาว์ ชิงโล่พระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อยู่ระหว่างดำเนินการ) และเงินรางวัล 100,000 บาท (ยกเว้นประเภทรางวัลนักเขียนรุ่นเยาว์) โดยเปิดรับผลงานตั้งแต่พฤศจิกายน 2559 – กุมภาพันธ์ 2560 มีการประกาศผลในเดือนกรกฎาคม 2560 และมอบรางวัลเดือนสิงหาคม 2560
