วันที่ 14 มิถุนายน การแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซียจะเริ่มต้นขึ้น โดยทีมฟุตบอลที่แข่งขันคู่แรกคือทีมชาติรัสเซียกับทีมชาติซาอุดีอาระเบีย การแข่งขันนี้จะดำเนินไปจนกระทั่งถึงวันที่ 15 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันชิงชนะเลิศ การแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนี้มีทีมเข้าร่วมแข่งขันทั้งหมด 32 ทีม 64 แมตช์ โดยทางการรัสเซียใช้งบประมาณ 4 แสนล้านบาทในการจัดการแข่งขัน ซึ่งการแข่งขันฟุตบอลโลกนี้ถือเป็นโอกาสทางธุรกิจของประเทศเจ้าภาพ และเป็นโอกาสทางธุรกิจของอีกหลายธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ทั้งที่ได้ประโยชน์ทางตรง และได้ประโยชน์ทางอ้อม
สำหรับประเทศไทยก็มีการตระเตรียมรับชมการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนี้ โดยรัฐบาลได้ระดมทุนจากภาคเอกชน 7 บริษัทใหญ่ จำนวน 1,400 ล้านบาท ซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด เพื่อมาเผยแพร่การแข่งขันทุกแมตช์ ขณะเดียวกันได้จัดสรรเวลาการถ่ายทอดสดเอาไว้ให้แล้ว โดยมี ทรูโฟร์ยู อมรินทร์ฯ และ ช่อง 5 สลับเวลาการทำหน้าที่ ซึ่งล่าสุดกำหนดการแข่งขันและกำหนดการถ่ายทอดได้ออกประชาสัมพันธ์ทางสื่อมวลชนแขนงต่างๆ ไปเป็นที่เรียบร้อย
ถือได้ว่าการตระเตรียมการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลก เป็นความพยายามของรัฐบาลที่ต้องการเอาใจคนไทย เพราะคนไทยชอบและรักกีฬา โดยเฉพาะกีฬาฟุตบอล ซึ่งที่ผ่านมามีผู้ติดตามการแข่งขันฟุตบอลทั้งแมตช์ในประเทศ แมตช์ในยุโรป และการแข่งขันสำคัญระดับโลกเช่นการแข่งขันฟุตบอลโลกนี้มาโดยตลอด ซึ่งการดูกีฬาดังกล่าวทำให้ซึมซับหัวใจของนักกีฬา ทั้งการรู้แพ้ รู้ชนะ และรู้อภัย และด้วยระยะเวลาที่สั่งสม ทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของกองเชียร์กีฬามากขึ้น จากเดิมที่ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ กลับมีการยอมรับมากขึ้น และรู้ว่าแม้ครั้งนี้แพ้แต่ครั้งต่อไปยังมีโอกาส
ส่วนที่สำคัญอีกหนึ่งอย่างจากหัวใจนักกีฬา คือการให้อภัย เรื่องนี้คนไทยทราบ แต่ยังปรากฏว่าในหลายวงการไม่สามารถให้อภัยกันได้ ยังมีข้อขัดแย้ง โกรธเกลียด เคียดแค้น ชิงชัง ดังนั้น ในช่วงเวลาที่โลกทั้งใบกำลังเข้าสู่บรรยากาศการกีฬา คนดูกีฬาก็ควรซึมซับหัวใจของนักกีฬา ทั้ง “รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย” เอาไว้ และนำเอาหัวใจนักกีฬามาปรับใช้กับการดำรงชีวิต ทำให้คนมีความอดทน รู้จักพัฒนาตัวเอง และรู้จักปล่อยวาง ถ้าทุกคนมีหัวใจเป็นนักกีฬา ไม่แน่ว่าความขัดแย้งที่แตกร้าวอาจจะได้รับการสมาน เพราะเรารู้จักแพ้ รู้จักชนะ และรู้จักให้อภัย
