คอลัมน์ โกลบอลโฟกัส : วันสุดท้ายของรัฐอิสลาม (1)

(ภาพ-Reuter TV via Reuters)

คอลัมน์ โกลบอลโฟกัส : วันสุดท้ายของรัฐอิสลาม(1)

กองกำลังรัฐอิสลาม (ไอเอส) ขบวนการก่อการร้ายหมายเลขหนึ่งของโลกในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เรียกดินแดนยึดครองของตนเองว่า “กาลิเฟท” เพื่อส่อนัยให้คำนึงถึง อาณาจักรภายใต้การปกครองของกาหลิป ในยุคอิสลามรุ่งเรืองเมื่อนานมาแล้ว เพื่อสะท้อนถึงความเชื่อของตนเอง ที่บางคนเรียกว่าเป็นแนวคิด “ซาลาฟี ญิฮาดิสม์” ซึ่งตั้งเป้าจะสร้างยุครุ่งโรจน์ที่ว่าขึ้นมาใหม่อีกครั้งด้วยกำลัง “อาวุธ”

รัฐกาหลิปใหม่ของกองกำลังรัฐอิสลาม สถาปนาขึ้นมาโดย อาบู บาการ์ อัล-บักห์ดาดี ด้วยการประกาศหน้ามุขของมหามัสยิด อัล-นูรี ในเมืองโมซุล ประเทศอิรัก เมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2014

เมื่อ 23 มีนาคมที่ผ่านมา กองทัพประชาธิปไตยซีเรีย (เอสดีเอฟ) ซึ่งมีกองกำลังติดอาวุธชาวเคิร์ด เป็นหลัก มีเครื่องบินรบอเมริกันและกองกำลังหน่วยรบพิเศษของอังกฤษและฝรั่งเศส เป็นกำลังหนุน บุกเข้ายึดที่มั่นสุดท้าย ดินแดนผืนสุดท้ายที่เป็นของ รัฐกาหลิป ดังกล่าวได้โดยสมบูรณ์

Advertisement

ถึงตอนนี้ ชัยชนะของไอเอสที่เริ่มต้นด้วยการสถาปนารัฐกาหลิปอิสลามขึ้นมาจึงผ่านเลยไปกลายเป็นเพียงส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ดุจเดียวกับวันสุดท้ายของรัฐกาหลิปที่ว่านั้น
เป็นชัยชนะที่เป็นประวัติศาสตร์ และเป็นความพ่ายแพ้ที่เป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว

ข้อสังเกตที่น่าสนใจในเชิงประวัติศาสตร์เปรียบเทียบก็คือ การยึดครองดินแดนด้วยกำลังและการสถาปนารัฐกาหลิปอิสลามขึ้นมาของไอเอส คือสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมานับครั้งไม่ถ้วนในอดีตกาล แต่ครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้น แล้วประสบความสำเร็จมาจนถึงทุกวันนี้ คือการที่กองทัพม้าของชนเผ่าภายใต้การนำของ อิบน์ ซาอุด กรีฑาทัพเข้าพิชิตดินแดนแล้วดินแดนเล่า แล้วสถาปนารัฐชาติที่รู้จักกันในนาม ซาอุดีอาระเบีย ขึ้นมาเมื่อกว่า 100 ปีมาแล้ว

สิ่งที่ ไอเอส ดำเนินการ คล้ายคลึงอย่างยิ่งกับที่สิ่งที่ผู้บุกเบิกราชวงศ์ซาอุด ดำเนินการมา

Advertisement

แต่ภายใต้กรอบนอกที่คล้ายคลึง เนื้อหาภายในของการยึดครอง การปกครอง ขยายอาณาจักร แตกต่างกันออกไปโดยสิ้นเชิง

แตกต่างกันตั้งแต่การยึดถือตัวเองว่าเป็น “ผู้ประหัตประหาร” ตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ลดสถานะของบุคคลต่างเผ่าพันธุ์ ต่างเชื้อชาติศาสนาลงเหลือเพียงแค่ ทาส หรือ ผู้ที่ต้องกำจัด เท่านั้น

ความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในเชิงปฏิบัติเช่นนี้นี่เองที่ส่งผลให้ รัฐกาหลิปอิสลา ที่เมื่อตอนรุ่งเรืองสุดขีด มีอาณาเขตพอๆ กับประเทศจอร์แดน

เมื่อถึงวันสุดท้าย ความเป็นรัฐกาหลิป ที่มีดินแดนเป็นของตนเอง หลงเหลืออยู่เพียงแค่ ไม่กี่ร้อยตารางเมตร ที่ซอกหลืบหนึ่งของ บากูซ เมืองเล็กๆ บริเวณชายแดนด้านตะวันออกของซีเรียติดต่อกับอิรักเท่านั้นเอง

******

จุดเริ่มของ รัฐกาหลิปอิสลาม ไม่ได้อยู่ในซีเรีย แต่เป็นอิรัก เป็นอิรักหลังจากที่สิ้นสุดการครองอำนาจเบ็ดเสร็จ ของ ซัดดัม ฮุสเซน เมื่อปี 2003 ภายใต้การดำเนินการของกองทัพสหรัฐอเมริกา เพราะเป็นที่ชัดเจนว่า แกนนำระดับบัญชาการเกือบทั้งหมดของไอเอสที่เก็บตัวเงียบอยู่หลังฉากนั้น ล้วนเคยดำรงตำแหน่งแม่ทัพนายกอง หรือไม่ก็ผู้บัญชาการหน่วยข่าวกรองทหารในระบอบการปกครองของซัดดัมเรื่อยมาจนกระทั่งถูกโค่นล้ม

นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไม ไอเอส จึงได้เชี่ยวชาญกลยุทธทางทหาร และมีระบบข่างกรองที่ลึกซึ้ง ถี่่ถ้วนเหนือกว่ากองกำลังติดอาวุธ ทั่วไปในท้องถิ่นในเวลานั้น

ประสบการณ์ทางทหารเหล่านี้เห็นได้ชัดจากการลอกเลียนแบบอุโมงค์เวียดกง มาใช้ในพื้นที่ทะเลทรายอย่างได้ผล

รวมถึงกลยุทธ์ในการระดมกำลัง “นักรบศักดิ์สิทธิ์” จากทั่วทุกมุมโลกให้เดินทางเข้ามาร่วมรบเพื่อรัฐกาหลิปอิสลาม กลยุทธ์ทางทหารที่ “ไซออนนิสต์” เท่านั้นเคยใช้มาในการระดมสรรพกำลังยิวจากทั่วโลกมาป้องกันประเทศ

ด้วยประสบการณ์ทางทหารและการข่าว บวกกับความคิดสร้างสรรค์ในการทำศึกในรูปแบบของตนเอง ทำให้ไอเอส สามารถพิชิตดินแดนทะเลทรายขนาดใหญ่บริเวณพรมแดนด้านตะวันตกของอิรัก ต่อเนื่องกับ ด้านตะวันออกของซีเรีย ได้อย่างรวดเร็วในหน้าร้อนของปี 2014

พอถึงเดือนมิถุนายน ปีเดียวกัน กองกำลังอหังการของรัฐกาหลิปอิสลาม ก็รุกคืบอย่างรวดเร็วเหลือเชื่อ ยึดโมซุล, ติกริต, และเมืองอื่นๆ ด้านตะวันตกของอิรักไว้ในการควบคุมแบบสายฟ้าแลบ ก่อนที่จะประกาศสถาปนารัฐอิสลามในเดือนถัดมา

ย้อนกลับไปในเวลานั้น ไอเอส ไม่เพียงแสดงท่าทีประหนึ่งว่าจะประกาศสงครามกับทั้งโลก ที่ถูกมองว่าเป็น “อินฟีเดล” หรือ “คนนอกรีต” เท่านั้น แต่ยังพร้อมที่จะเปิดศึกกับมุสลิมด้วยกัน ตราบเท่าที่คนเหล่านั้น ไม่ยินยอมอยู่ใต้อาณัติและต้องผ่านการทดสอบศรัทธาให้ได้

เหตุผลเป็นเพราะในเวลานั้น ทุกอย่างดำเนินไปตามแผน การค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปในพื้นที่เป้าหมายก่อนที่จะลุกฮือขึ้นยึดครองแบบเฉียบพลัน ใช้ได้ผลทั้งในพื้นที่ทางตะวันตกของอิรัก และพื้นที่ทางตะวันออกของซีเรีย

ทุกอย่างเป็นไปตามแผน แผนที่พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้กำหนดไว้…พวกเขายืนยันเช่นนั้น

******

ข้อเท็จจริงที่น่าสังเกตก็คือ ดินแดนทั้งหลายที่ไอเอสพิชิตแล้วเข้ายึดครองนั้น ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิมสุหนี่ เป็นสังคมมุสลิมเดียวกันกับที่เป็นที่มาของกองกำลังไอเอส ด้วยเหตุนี้ผู้คนในแต่ละพื้นที่ยึดครองเหล่านั้นจึงไม่ได้หลบหนีออกไปทั้งหมด อย่างน้อยที่สุดก็ยังคงมีประชาชนส่วนหนึ่งหลงเหลืออยู่เสมอ

คริสตอฟ รอยเตอร์ ผู้สื่อข่าวของแดร์ สปีเกล เชื่อว่า หากปราศจากผู้คนเหล่านี้ รัฐกาหลิปอิสลามที่สถาปนาขึ้นมา คงไม่สามารถดำรงความเป็นรัฐอยู่ได้แน่นอน

เหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้การรุกคคืบของไอเอสประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว เนื่องจากทั่้วโลกยังไม่ให้ความสนใจและไม่ได้ให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้มากมายนัก การพลิกผันนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาชนิดกลับขั้วโดยไม่คำนึงถึงข้อเท็จจริงในสนามก็ดี ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจที่ลุกลามหนักข้อในเวลาเดียวกันนั้นก็ดี ล้วนเอื้อต่อการเติบใหญ่ของไอเอสอย่างรวดเร็ว

แต่การละเลยดังกล่าว ส่งผลให้เกิดความทะเยอทะยานถึงระดับย่ามใจให้เกิดขึ้นกับไอเอส ที่กลายเป็นการตัดสินใจผิด คำนวณพลาดอย่างใหญ่หลวงในอีก 2 เดือนถัดมา
ความผิดพลาดของไอเอสครั้งใหญ่เกิดขึ้นที่ ซินจาร์ เมื่อกองกำลังติดอาวุธของไอเอส บุกเข้าโจมตี ชนกลุ่มน้อย ยาซิดี ที่เป็นชนเผ่าโบราณ ซึ่งนอกจากนับถือพระเจ้าแล้ว ยังบูชาเทพอวตารอีก 7 องค์ซึ่งหนึ่งในจำนวนนั้นคือ นกยูง

ในสายตาของไอเอส เพียงแค่การบูชานกยูงอย่างเดียว ยาซิดี ก็สมควรถูกกำจัดไปจากโลกนี้แล้ว

ชาวยาซิดี โชคร้ายที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ซินจาร์ ใกล้กับ ทัล อัฟฟาร์ เมืองที่เป็นบ้านเกิดของเอเมียร์ไอเอสผู้ทรงอิทธิพลถึงอย่างน้อย 2 คน

สิ่งที่ไอเอสกระทำต่อยาซิดี ก็คือ สังหารผู้ชาย ในขณะที่คร่าตัวผู้หญิงมาเป็นทาสทั้งใช้แรงงานและเป็นทาสกามารมณ์ ส่วนเด็กชายถูกจับแยกเข้าไปฝึกอบรมเสียใหม่

ทั้งโลก พุ่งความสนใจมายังไอเอส นับตั้งแต่บัดนั้น

******

ขนาดการประกาศสถาปนารัฐกาหลิปอิสลาม ของ อาบู บาการ์ อัล-บักห์ดาดี ที่โมซุล โลกยังไม่ใส่ใจเท่าที่ควร บรรดาแกนนำไอเอสทั้งหลายก็เชื่อเช่นเดียวกันว่า คงไม่มีใครใยดีกับชนเผ่าโบราณเก่าแก่อย่างชนเผ่ายาซิดีเช่นเดียวกัน นั่นเป็นความผิดพลาดในการคำณวนการสร้างและสั่งคมอิทธิพลครั้งใหญ่เป็นครั้งแรก

ถัดมา สิ่งที่แกนนำไอเอสคาดไม่ถึงเช่นเดียวกันก็คือ ด้วยการบุกเข้ายึดครองซินจาร์ เท่ากับว่า กองกำลังไอเอส กลายเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อ เออร์บิล เมืองหลวงของเขตปกครองตนเองชาวเคิร์ดทางตอนเหนือของอิรัก ส่งผลให้ชาวเคิร์ดทั้งในอิรักและซีเรีย จำเป็นต้องกระโจนเข้าสู่ศึกหนนี้ด้วยอย่างช่วยไม่ได้

ภาพเหตุการณ์การอพยพหลบหนีการโจมตีจากกองกำลังไอเอสของบรรดาชาวยาซิดีเรือนแสน มุ่งหน้าสู่เทือกเขาซินจาร์ ที่ถูกใช้เป็นที่หลบภัยสุดท้าย แล้วตกอยู่ภายใต้การปิดล้อมของกองกำลังติดอาวุธ ทั้งเด็ก ผู้หญิง และคนชรา ทะยอยอดอยากล้มตายลงด้วยความหิวและกระหาย ทำให้ บารัค โอบามา ประธานาธิบดีอเมริกันในเวลานั้น ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้วิธีการทางทหารเข้าแทรกแซง

เริ่มตั้งแต่การโจมตีทางอากาศด้วยเครื่องบินรบทันสมัย และหาหนทางระดมสรรพกำลังผ่านการดำเนินการทางการจนได้ กองกำลังพันธมิตรเพื่อการนี้ขึ้นมา

ชะตากรรมของยาซิดี เมื่อผสมผสานเข้ากับ การ “ประหาร” ด้วยการ “เชือดคอ” และ “ตัดศีรษะ” ตัวประกันทั้งชาวอเมริกัน อังกฤษและ อืนๆ ของไอเอส อย่างเลือดเย็นและอำมหิต โดยที่หลายคนในจำนวนนั้นถูกจับเป็นตัวประกันไว้นานนับปี โดยไม่ได้มีวี่แววว่ามีชีวิตอยู่หรือไม่ ซึ่งไอเอสเชื่อว่า จะเป็นเครื่องมือ ป้องปราม ไม่ให้ผู้รุกรานทั้งหลายเข้ามายุ่มย่ามกับการกระทำของพวกตน กลายเป็นการคำนวณผิดพลาดอีกครั้ง

เพราะผลลัพธ์กลับกลายไปในทางตรงกันข้ามกับที่ไอเอสคิดไว้โดยสิ้นเชิง

ไม่ว่าจะเชี่ยวชาญด้านข่าวกรองมากแค่ไหน ไม่ว่าจะมีประสบการณ์ด้านการทหารมามากเพียงใด ไอเอส ก็ไม่สามารถรับมือกับการดักฟังโทรศัพท์ที่ถูกนำมาใช้ครอบคลุมทั้งพื้นที่ ไม่สามารถรับมือกับโดรนติดอาวุธ กับ ระเบิดนำวิถีที่แม่นยำ สามารถส่งอานุภาพทำลายล้างเข้าสู่เป้าหมายได้ด้วยค่าความผิดพลาดเพียงไม่กี่เมตรได้

กองกำลังรัฐอิสลามสูญเสียพื้นที่ยึดครองเมืองแล้ว เมืองเล่า เขตแล้วเขตเล่า ยุทธวิธีระดมกองกำลังจำนวนมาก อาศัยอาวุธที่สหรัฐอเมริกาทิ้งไว้ในอิรักและที่ยึดครองมาได้ตลอดเวลา บุกโจมตีฝ่ายตรงกันข้ามเป็นกองทัพ ยิ่งนับวันยิ่งใช้ไม่ได้ผล

ผู้บัญชาการกองกำลังเคิร์ดผู้หนึ่งบอกกับ คริสตอฟ รอยเตอร์ ว่า ไอเอส จัดกำลังบุกโจมตีใส่เคิร์ดเหมือนกับกองทัพธรรมดาทั่วไป นั่นถือเป็นความคิดที่ผิด

“ถ้าพวกนั้นใช้กลยุทธ์แบบกองโจร เราคงจัดการกับไอเอสได้ยากกว่าที่เป็นอยู่มาก หรืออาจจะเป็นไปไม่ได้ที่เราจะเอาชนะเลยก็เป็นได้”

ถึง 23 มีนาคมที่ผ่านมา ไอเอส ถูกรุกไล่จนเหลือพื้นที่ปกครองเพียงไม่กี่ร้อยตารางเมตร ที่บากูซ เมืองชายแดนด้านตะวันออกของซีเรีย

อัล-บักห์ดาดี หลงเหลือองค์รักษ์ผู้ติดตามอยู่เพียงไม่กี่รายเท่านั้นในเวลานั้น

เวลาที่เป็นการเริ่มต้นการนับถอยหลังไปสู่การสิ้นสุดของรัฐกาหลิปอิสลาม ที่เคยยิ่งใหญ่เหลือเกินเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image