โฟกัสโลกรอบสัปดาห์ : กำแพงภาษี ‘ทรัมป์’ อาวุธศก.สุดเลิศหรือหอกทิ่มตัวเอง

AP

โฟกัสโลกรอบสัปดาห์: กำแพงภาษี ‘ทรัมป์’ อาวุธศก.สุดเลิศหรือหอกทิ่มตัวเอง

ก่อนที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ จะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ทุกคนต่างคาดว่าทรัมป์จะพาสหรัฐเปิดสงครามการค้ากับจีน ถือเป็นการปะทะกันระหว่างประเทศเศรษฐกิจใหญ่สุดอันดับ 1 และ 2 ของโลก ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อทรัมป์ประกาศเก็บภาษีสินค้านำเข้าทุกชนิดจากจีน 20% แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าทรัมป์จะหันมาตั้งกำแพงภาษีกับประเทศเพื่อนบ้านซึ่งเป็นพันธมิตรใกล้ชิดที่สุดของสหรัฐอย่าง แคนาดาและเม็กซิโก ทำให้ทั้ง 3 ประเทศหันมาตั้งกำแพงภาษีตอบโต้สหรัฐชนิดที่เรียกได้ว่าตาต่อตา ฟันต่อฟัน จนทำให้เกิดความสงสัยว่าคนที่เจ็บหนักที่สุดในเรื่องนี้คือใครระหว่างประเทศอื่นๆ หรือประชาชนชาวอเมริกัน?

นับตั้งแต่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ เราได้ยินคำว่า ภาษี หรือ tariffs บ่อยมาก นั่นก็เพราะทรัมป์ได้วางให้ภาษีเป็นอาวุธสำคัญทางเศรษฐกิจในรัฐบาลสหรัฐของเขา ซึ่งจะช่วยกระตุ้นกำลังการผลิตภายในประเทศสหรัฐ ดึงดูดให้บริษัทต่างๆ มาเปิดโรงงานในสหรัฐมากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงกำแพงภาษีของเขา รวมถึงเพิ่มรายได้จากการจัดเก็บภาษีประเทศต่างๆ ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจของสหรัฐเติบโตขึ้น

ไม่นานหลังทรัมป์รับตำแหน่ง ทรัมป์ได้ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าทุกชนิดจากจีน 10% มีผลวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ก่อนที่จะเพิ่มอีก 10% รวมเป็น 20% มีผลในวันที่ 4 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะจีนถือเป็นอริเบอร์ 1 ของสหรัฐ แต่สิ่งที่ไม่มีใครคิดว่าทรัมป์จะทำคือประกาศเก็บภาษี 25% สินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกที่มีผลเมื่อวันที่ 4 มีนาคม และเก็บภาษี 10% แก่พลังงานที่นำเข้ามาจากแคนาดา โดยทรัมป์ให้เหตุผลว่าเป็นเพราะทั้ง 3 ประเทศล้มเหลวในการปราบปรามยาเสพติดต่างๆ รวมถึง เฟนทานิล ไม่ให้ไหลเข้าสหรัฐเช่นเดียวกับผู้อพยพผิดกฎหมายที่แห่ลักลอบเข้ามาในสหรัฐจำนวนมาก แม้ว่านายกรัฐมนตรี จัสติน ทรูโด ของแคนาดาจะโต้แย้งว่าเฟนทานิลไหลเข้าไปในสหรัฐจากพรมแดนแคนาดาไม่ถึง 1% ก็ตาม เพราะส่วนใหญ่มาจากเม็กซิโก แต่ทรัมป์ก็ไม่ได้สนใจพร้อมกับตอกกลับไปว่าแคนาดาไม่ได้พยายามมากพอที่จะแก้ปัญหาเรื่องนี้

ADVERTISMENT

นั่นทำให้จีนออกมาตอบโต้สหรัฐด้วยการเรียกเก็บภาษีสินค้าเกษตรของสหรัฐบางชนิด 10-15% ที่จะมีผลในวันที่ 10 มีนาคมนี้ รวมถึงขึ้นบัญชีบริษัทด้านการบิน ความมั่นคง และเทคโนโลยีของสหรัฐอยู่ในรายชื่อกลุ่มองค์กรที่ไม่น่าเชื่อถือ และออกมาตรการควบคุมการส่งออก สถานเอกอัครราชทูตจีนในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ออกมาประกาศสู้ยิบตาว่า “หากสหรัฐต้องการทำสงครามภาษี สงครามการค้า หรือสงครามใดๆ ก็ตาม จีนพร้อมจะสู้จนถึงที่สุด” ด้านแคนาดาก็ตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษี 25% แก่สินค้านำเข้าจากสหรัฐ และขู่ว่าจะขึ้นภาษีเพิ่มเติมอีกหากทรัมป์ยังตั้งกำแพงภาษีสินค้าแคนาดาต่อไปอีกเป็นเวลา 21 วัน โดยรอบนี้แคนาดาจะตั้งกำแพงภาษีกับรถยนต์ เหล็ก เครื่องบิน และเนื้อหมูจากสหรัฐ ด้าน นายดั๊ก ฟอร์ด มุขมนตรีของรัฐออนแทริโอของแคนาดา กล่าวว่าเขาจะคิดค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม 25% แก่ไฟฟ้าของแคนาดาที่ส่งให้กับรัฐมิชิแกน นิวยอร์ก และมินนิโซตาของสหรัฐ แถมขู่ว่าจะพิจารณาตัดไฟที่จ่ายให้กับทั้ง 3 รัฐหากสหรัฐขึ้นภาษีแคนาดาอีก ส่วนเม็กซิโกจะมีมาตรการภาษีตอบโต้สหรัฐเช่นกัน

REUTERS

ทันทีที่กำแพงภาษีของทรัมป์ต่อจีน แคนาดา และเม็กซิโกมีผลในวันที่ 4 มีนาคม ตลาดหุ้นของสหรัฐพากันร่วงลงแทบจะในทันทีเพราะมีความกังวลว่านี่จะนำไปสู่สงครามการค้าที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งนอกจากจะกระทบเศรษฐกิจของประเทศอีกฝ่ายแล้ว ยังกระทบกับเศรษฐกิจสหรัฐเช่นกัน เพราะกำแพงภาษีตอบโต้กันไปมาจะทำให้ราคาสินค้าต่างๆ ในประเทศสูงขึ้นตามมา สินค้านำเข้าจากจีน แคนาดา และเม็กซิโกคิดเป็นกว่า 40% ของสินค้านำเข้าทั้งหมดในสหรัฐ มากพอที่จะกระทบกับผู้บริโภคชาวอเมริกันเป็นวงกว้าง อาทิ รถยนต์ในสหรัฐอาจมีราคาสูงขึ้น 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1 แสนบาท เพราะชิ้นส่วนรถยนต์ถูกส่งข้ามพรมแดนกันไปมาระหว่างแคนาดา สหรัฐ และเม็กซิโก ก่อนที่จะนำมาประกอบเป็นรถยนต์ 1 คัน เมื่อราคาสินค้าต่างๆ ในประเทศสูงขึ้น ชาวอเมริกันจำนวนมากอาจตั้งคำถามว่าประโยค Make America Affordable Again ของทรัมป์นั้นมัน Affordable กี่โมง เพราะกำแพงภาษีจะยิ่งทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น ยิ่งสร้างความไม่พอใจให้กับชาวอเมริกันที่ปัญหาเศรษฐกิจในประเทศยังไม่คลี่คลายดี

ADVERTISMENT

เมื่อวันที่ 5 มีนาคม ทรัมป์ได้พูดคุยกับซีอีโอของ ฟอร์ด เจนเนอรัล มอเตอร์ (จีเอ็ม) และ สเตลแลนทิส ซึ่งเป็น 3 ค่ายผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ในสหรัฐ ทรัมป์ได้ประกาศว่าจะเลื่อนการเก็บภาษีรถยนต์นำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกเป็นเวลา 1 เดือน โดยงดเว้นจากการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโก 25% ตราบใดที่ผู้ผลิตรถยนต์ยังปฏิบัติตามกฎของข้อตกลงการค้าสหรัฐ-เม็กซิโก-แคนาดา (USMCA) แถมล่าสุดเมื่อวันที่ 6 มีนาคม ทรัมป์ได้ลงนามคำสั่งเลื่อนการบังคับใช้การขึ้นภาษี 25% แก่สินค้านำเข้าส่วนใหญ่จากแคนาดาและเม็กซิโกที่อยู่ภายใต้ข้อตกลง USMCA โดยเลื่อนไปเป็นวันที่ 2 เมษายน แสดงให้เห็นถึงความไม่แน่นอนของรัฐบาลทรัมป์ที่พร้อมจะเปลี่ยนท่าทีในนโยบายของตัวเองทุกเมื่อ นอกจากนั้น ทรัมป์ยังมีแผนเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้จากทุกประเทศที่เก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐในวันที่ 2 เมษายน และสหรัฐจะขึ้นภาษี 25% แก่รถยนต์และสินค้าต่างๆ ที่นำเข้ามาจากสหภาพยุโรป (อียู) เพื่อตอบโต้ที่สหรัฐขาดดุลการค้ากับอียูจำนวนมาก ด้านคณะกรรมาธิการยุโรปออกมาประกาศแล้วว่าพร้อมจะมีมาตรการตอบโต้กับการขึ้นภาษีที่ไม่เป็นธรรมของสหรัฐ

แม้ว่าจุดประสงค์ของกำแพงภาษีของทรัมป์จะมีขึ้นเพื่อให้บริษัทย้ายฐานการผลิตกลับมาในสหรัฐ แต่ต้องไม่ลืมว่าบริษัทต่างๆ ของสหรัฐจำนวนไม่น้อยย้ายไปตั้งฐานการผลิตในต่างประเทศเพราะค่าแรงถูกกว่าในสหรัฐ และการกลับมาเปิดโรงงานลงทุนในสหรัฐก็ไม่ได้ง่ายและเร็วเหมือนดีดนิ้ว ธนาคารกลางแห่งแอตแลนตา (Federal Reserve of Atlanta) คาดการณ์ว่ากำแพงภาษีเม็กซิโก แคนาดา และจีน จะทำให้ราคาสินค้าในชีวิตประจำวันในสหรัฐสูงขึ้น 0.81% – 1.63% และอาจทำให้ภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐเพิ่มขึ้นจาก 2.9% ขึ้นเป็น 4% ที่จะกระทบกับการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ นักวิเคราะห์ยังเตือนอีกว่ากำแพงภาษีอาจทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐ และส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังผู้บริโภคทั่วโลก

นายกรัฐมนตรีทรูโดของแคนาดาวิจารณ์นโยบายภาษีของทรัมป์อย่างเจ็บแสบว่า “โดนัลด์ คุณเป็นคนฉลาดมากนะ แต่นั่นเป็นเรื่องที่โง่มาก” ด้าน นายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ ของญี่ปุ่น หนึ่งในประเทศพันธมิตรของสหรัฐกล่าวว่า การขึ้นภาษีสูงของทรัมป์จะยิ่งทำให้การลงทุนในสหรัฐยากลำบากยิ่งขึ้น เพราะบริษัทญี่ปุ่นต้องระดมงบประมาณมากขึ้นในการลงทุนในสหรัฐ

หากให้เปรียบเทียบ ตอนนี้ทรัมป์เหมือนสาดกระสุนไปทั่วทุกทิศจนโดนทั้งฝ่ายตรงข้ามอย่างจีน และพันธมิตรของตัวเองที่ยืนข้างกันมานานอย่างแคนาดา เม็กซิโก และอียู รวมถึงอาจทำปืนลั่นใส่เท้าตัวเองดื้อๆ เพราะของอาจเข้าตัวทำเศรษฐกิจของตัวเองถดถอยไปด้วย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image