เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม ที่กรุงเนปิดอว์ ประเทศเมียนมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศ.ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย ประธานคณะที่ปรึกษาระหว่างประเทศเรื่องรัฐยะไข่ได้จัดประชุมคณะที่ปรึกษาฯเต็มคณะที่กรุงเนปิดอว์ เมียนมา และได้เข้าพบหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับนายวิน เมี้ยด อาย รัฐมนตรีกระทรวงพัฒนาสังคม ในฐานะประธานคณะกรรมการนำข้อเสนอนายโคฟี อันนันไปปฏิบัติ,นางออง ซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐ, นายวิน ข่าย ทาน ประธานรัฐสภาเมียนมา และนายวิน มยินท์ ประธานาธิบดี สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
นายสุรเกียรติ์ได้ให้สัมภาษณ์ว่าคณะที่ปรึกษาฯได้เห็นว่าที่ผ่านมารัฐบาลเมียนมามีความคืบหน้าในการดำเนินการนำสันติภาพและการพัฒนามาสู่รัฐยะไข่ได้ดี เช่นการปฏิบัติตามข้อเสนอของนายโคฟี อันนัน เรื่องโครงการพัฒนาได้เป็นส่วนใหญ่แล้ว และการนำข้อเสนอของคณะที่ปรึกษาฯที่ตนเป็นประธานไปปฏิบัติเช่นการลงนามบันทึกช่วยจำ(MoU) กับสหประชาชาติโดยเฉพาะองค์การข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัย (UNHCR) และโครงการพัฒนา (UNDP) เพื่อร่วมกันเตรียมการรับผู้ลี้ภัยจากบังกลาเทศกลับมารัฐยะไข่, การรับผู้แทนพิเศษของเลขาธิการสหประชาชาติในเรื่องสันติภาพในเมียนมา, การนำข้อเสนอของคณะที่ปรึกษาเรื่องการตั้งคณะกรรมาธิการค้นหาข้อเท็จจริงในการละเมิดสิทธิมนุษยชนในรัฐยะไข่ในปีที่ผ่านมา (Commission of Enquiry)เป็นต้น
คณะที่ปรึกษาเห็นเพิ่มเติมว่าเมียนมาต้องพยายามสื่อสารกับสื่อมวลชนและสังคมระหว่างประเทศให้มาก ว่าได้ดำเนินการอะไรในทางบวกในรัฐยะไข่บ้างเพื่อประเทศต่างๆ จะได้มีความพร้อมที่จะเข้ามาร่วมกันช่วยเหลือได้เต็มที่ทั้งด้านมนุษยธรรมและการพัฒนา
นอกจากนี้ เมียนมาควรเร่งดำเนินการโครงการนำร่องหมู่บ้านตัวอย่างที่ทุกชุมชนในรัฐยะไข่อยู่กันได้ด้วยความปลอดภัย (Pilot Project on Model Villages) มีโรงเรียน สถานพยาบาลที่ทุกคนเข้าถึงได้ มีตลาดขายสินค้า มีการฝึกอาชีพต่างๆ เพื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกันในชุมชนต่อไป
นอกจากนี้ เมียนมาควรมอบหมายคนหนึ่งเป็นหัวหน้าทีมในการติดต่อกับอาเซียนโดยเฉพาะประเทศไทยให้เป็นรูปธรรมโดยเร็วเช่นในการร่วมมือด้านคลินิกเคลื่อนที่ การสร้างงานผ่านโครงการ ”หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์” ที่เมียนมาขอความช่วยเหลือและที่ทางฝ่ายไทยเคยเสนอความพร้อมในการร่วมมือไปแล้วเป็นต้น
คณะที่ปรึกษาฯ ได้ย้ำว่าปัญหาในรัฐยะไข่ไม่ใช่ความขัดแย้งทางศาสนา หากแต่เป็นความขัดแย้งระหว่างชุมชน ซึ่งจำเป็นต้องมีกระบวนการสานเสวนาลดความขัดแย้งตามที่คณะที่ปรึกษาฯได้เคยเสนอไปแล้วต่อไป
