สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่าความขัดแย้งด้านการค้าโลกที่จุดชนวนโดยนโยบายกีดกันทางการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา คาดว่าจะเป็นประเด็นครอบงำเวทีการประชุมรัฐมนตรีคลังกลุ่มประเทศที่มีเขตเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 20 ชาติหรือจี20 ในกรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ระหว่างวันที่ 21-22 กรกฎาคมนี้
นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐต้อง “ตอบสนองต่อความกังวลเรื่องนโยบายการค้าของสหรัฐ” ในการประชุมรัฐมนตรีคลังที่มีผู้ว่าการธนาคารกลางของเขตเศรษฐกิจชั้นนำของโลกซึ่งรวมถึงสหภาพยุโรป (อียู) เข้าร่วมด้วย
นางคริสตีน ลาการ์ด กรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เตือนว่าการเพิ่มข้อจำกัดทางการค้าทำให้เกิด “ภัยคุกคามระยะสั้นที่ใหญ่หลวงที่สุด” ต่อเศรษฐกิจโลก แม้ไอเอ็มเอฟประเมินว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะอยู่ที่ 3.9 เปอร์เซ็นต์ไปจนถึงปีหน้า
นางลาการ์ดยังเตือนนายทรัมป์อีกด้วยว่า “เศรษฐกิจสหรัฐเปราะบางเป็นอย่างมาก” ต่อ “มาตรการตอบโต้ของชาติต่างๆ”
นักเศรษฐศาสตร์ของไอเอ็มเอฟระบุว่าในกรณีที่เลวร้ายที่สุด ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือจีดีพีของทั้งโลกมูลค่า 430,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 0.5 เปอร์เซ็นต์จะหายไปในปี 2563 หากคำขู่ว่าจะใช้มาตรการเพิ่มกำแพงภาษีและการตอบโต้ทั้งหมดถูกบังคับใช้
ขณะที่ในการประชุมนอกรอบ เจ้าหน้าที่จากกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก 7 ชาติหรือจี7 จะหารือกันเป็นเวลา 1 ชั่วโมงในเรื่องที่สหรัฐระบุว่าเป็น “ความก้าวร้าวทางเศรษฐกิจของจีน” นอกจากนี้คาดว่าจะมีการยกประเด็นเรื่องอนาคตของเขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือหรือนาฟตาขึ้นมาถกอีกด้วย โดยการเจรจาที่มีเดิมพันสูงระหว่างสหรัฐ แคนาดาและเม็กซิโกเพื่อที่จะปรับปรุงข้อตกลงใหม่กำลังดำเนินอยู่ในณะนี้
ทั้งนี้ หลายฝ่ายคาดว่าการประชุมครั้งนี้จะไม่เหมือนการประชุมสุดยอด จี7 ที่เมืองควิเบก ประเทศแคนาดา ซึ่งสหรัฐถอนการสนับสนุนแถลงการณ์ร่วม โดยในการประชุมจี20 นี้คาดว่าจะสามารถออกแถลงการณ์ที่ทุกฝ่ายเห็นพ้องกันได้ซึ่งอาจใช้ถ้อยคำที่ประนีประนอมในเรื่องการกีดกันทางการค้าที่หลายฝ่ายตั้งคำถาม ท่ามกลางคำร้องขอของสหรัฐ
การประชุมจะเน้นไปที่การแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจที่คุกคามประเทศเศรษฐกิจใหม่หลายแห่งที่รวมถึงอาร์เจนตินา ชาติเจ้าภาพซึ่งเพิ่งจะได้รับเงินกู้ช่วยเหลือมูลค่า 50,000 ล้านดอลลาร์จากไอเอ็มเอฟเพื่อใช้ในการสร้างเสถียรภาพของเศรษฐกิจในประเทศหลังเงินเปโซอ่อนค่าลงถึง 35 เปอร์เซ็นต์ในช่วงระหว่างเดือนเมษายนถึงมิถุนายนที่ผ่านมา
