สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม เซฟ เดอะ ชิลเดรน นอร์เวย์ องค์การรณรงค์เพื่อสิทธิเด็กตามอนุสัญญาสิทธิเด็กแห่งสหประชาชาติ (ซีอาร์ซี) ในเครือเซฟ เดอะ ชิลเดรน อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดเผยรายงานผลการวิเคราะห์เชิงกฎหมาย ต่อรายงานวิจัยของสหประชาชาติและรายงานเหตุการณ์ขององค์กรสิทธิมนุษยชนอื่นๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรัฐยะไข่ของพม่า ตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 2560 ซึ่งส่งผลให้มุสลิมโรฮีนจาในยะไข่กว่า 700,000 คนซึ่งราวครึ่งหนึ่งเป็นเด็ก ต้องหลบหนีออกมาลี้ภัยอยู่ในบังกลาเทศต่อเนื่องจนถึงขณะนี้
ผลการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย ระบุว่า การดำเนินการของรัฐบาลพม่าซึ่งอ้างว่าเป็นการตอบสนองต่อการโจมตีที่มั่นของตำรวจในเดือนสิงหาคมปี 2560 และการดำเนินการต่อเนื่องในเวลาต่อมานั้น จัดได้ว่าเป็นการล่วงละเมิดพันธะสัญญาที่พม่าให้ไว้ต่ออนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กของยูเอ็น ปี 1991 อย่างน้อยใน 7 มาตรา ผู้กระทำความผิดมีทั้งรัฐบาลพม่าเองและหน่วยงานด้านความมั่นคง เนื่องจากรัฐบาลดำเนินการเป็นขั้นตอนเพื่อช่วยเหลือปฏิบัติการทางทหารในครั้งนั้น และไม่มีหลักฐานบ่งชี้ใดๆ ว่ารัฐบาลพยายามยุติหรือประณามพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ความมั่นคง
การล่วงละเมิดดังกล่าวมีตั้งแต่ ความล้มเหลวในอันที่จะให้ความคุ้มครองเด็กๆ จากความรุนแรง, การกดขี่, การทอดทิ้ง, การถูกล่วงละเมิดทางเพศ และการถูกนำมาฉกฉวยประโยชน์
การที่รัฐบาลพม่าไม่สามารถจัดการให้มีการสอบสวนสืบสวนที่เป็นอิสระต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และการแบ่งแยกเหยีดเชื้อชาติต่อเนื่องต่อมาด้วยการปฏิเสธไม่ให้สัญชาติต่อเด็กๆ โรฮีนจา ก็จัดว่าเป็นการละเมิดพันธะสัญญาที่รัฐบาลให้ไว้ตามอนุสัญญาซีอาร์ซี
