สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า เกิดเหตุโจมตีและระเบิดฆ่าตัวตายเป็นชุดๆ ที่กองกำลังรัฐอิสลาม (ไอเอส) อ้างว่าเป็นผู้ลงมือ คร่าชีวิตผู้คนไป 246 รายทางตอนใต้ของซีเรียเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ซึ่งถือเป็นการโจมตีโดยกลุ่มติดอาวุธครั้งรุนแรงที่สุดของประเทศครั้งหนึ่ง
องค์การสังเกตการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนซีเรีย (ออบเซอร์เวตอรี) ที่มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศอังกฤษเปิดเผยว่า การโจมตีเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ของจังหวัดสไวดา ทางตอนใต้ของประเทศ ที่ส่วนใหญ่อยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาล แต่ไอเอสยังคงยึดครองพื้นที่แถบทะเลทรายทางตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัดดังกล่าวไว้
การนองเลือดครั้งนี้มีขึ้นเกือบ 1 สัปดาห์หลังการบุกโจมตีของรัฐบาลซีเรียที่ได้รับการหนุนหลังโดยรัสเซียเพื่อขับไล่นักรบไอเอสออกจากจังหวัดดาราซึ่งอยู่ติดกับสไวดาทางภาคใต้ของประเทศ
ไอเอสอ้างว่าเป็นผู้ลงมือก่อเหตุรุนแรงครั้งนี้โดยระบุว่า “ทหารแห่งรัฐเคาะลีฟะห์” โจมตีที่ตั้งของรัฐบาลซีเรียและฐานทัพด้านความมั่นคงในเมืองสไวดาซิตี หลังจากนั้นได้ปลดชนวนของระเบิดที่คาดไว้กับตัว
ออบเซอร์เวตอรีระบุว่า มีมือระเบิดฆ่าตัวตาย 4 คน โจมตีเมืองซไวดาซิตี ขณะที่ส่วนที่เหลือโจมตีหมู่บ้านเล็กๆ หลายแห่งทางตอนเหนือและทางตะวันออก โดยบุกเข้าไปยิงผู้คนถึงในบ้านพัก
“มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 246 ราย ในจำนวนนี้เป็นพลเรือน 135 ราย” นายรามี อับเดล ราห์มาน ผู้อำนวยการของออบเซอร์เวตอรีกล่าว
ออบเซอร์เวตอรีระบุว่า ขณะที่ผู้เสียชีวิตที่เหลือส่วนใหญ่เป็นนักรบฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล หรือไม่ก็ชาวบ้านที่จับอาวุธขึ้นสู้เพื่อปกป้องหมู่บ้านของตนเอง รวมถึงมือระเบิดของไอเอสอย่างน้อย 38 ราย โดยไอเอสออกมาอ้างว่าเป็นผู้ลงมือหลายชั่วโมงหลังเกิดเหตุ โดยมีนักรบอย่างน้อย 45 คนเป็นผู้ปฏิบัติการโจมตีครั้งนี้
ทั้งนี้ จังหวัดสไวดาที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชนกลุ่มน้อยชาวดรูซ แทบไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามกลางเมืองซีเรียที่เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี 2554
นายอับเดล ราห์มาน กล่าวว่า “นับเป็นเหตุการณ์รุนแรงที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในจังหวัดสไวดานับตั้งแต่เกิดสงครามกลางเมืองและเป็นหนึ่งในการโจมตีของไอเอสครั้งรุนแรงที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในซีเรีย”
นายอาลี อัล ซาทารี ผู้ประสานงานด้านมนุษยธรรมของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ในซีเรียประณาม “การระเบิดก่อการร้ายในเมืองสไวดาซิตี” ระบุว่าพลเมืองควรได้รับการปกป้อง
ด้านรัสเซียที่เป็นพันธมิตรของรัฐบาลซีเรียระบุว่า การโจมตีของไอเอส “เป็นการยืนยันให้เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องมีการประสานงานอย่างกระตือรือร้นของประชาคมนานาชาติ เพื่อที่จะขจัดความชั่วร้ายที่เป็นสากลออกไปจากดินแดนของซีเรีย”
