สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกขยับขึ้นเมื่อวันที่ 3 สิงหาคมจากการที่รายงานด้านการจ้างงานของสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นไปในทางบวก มีผลมากกว่าการยกระดับความตึงเครียดของภัยคุกคามทางการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน
ที่ตลาดหุ้นวอลสตรีท ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์และเอสแอนด์พี500 อยู่ในแดนบวก ขณะที่ดัชนีแนสแด็กที่เป็นของกลุ่มบริษัทด้านเทคโนโลยีขยับขึ้นเล็กน้อย
ขณะที่ในยุโรป ตลาดหุ้นกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ แฟรงก์เฟิร์ต เยอรมนี และกรุงปารีสของฝรั่งเศส ปิดเพิ่มขึ้นทั้งหมด โดยค่าเงินปอนด์และยูโรที่ร่วงลงมีส่วนช่วยด้านโอกาสทางธุรกิจของหลายๆ บริษัทซึ่งเป็นการสนับสนุนราคาหุ้น
ความตึงเครียดด้านการค้าเพิ่มขึ้นจากการที่จีนเตือนว่า เตรียมที่จะกำหนดกำแพงภาษีใหม่ต่อสินค้านำเข้าของสหรัฐมูลค่า 60,000 ล้านดอลลาร์หากรัฐบาลสหรัฐเริ่มยกระดับความขัดแย้งในสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน
รัฐบาลจีนเตือนว่า กำแพงภาษีใหม่นี้จะถูกนำมาใช้หากรัฐบาลสหรัฐบังคับใช้กำแพงภาษีมูลค่า 200,000 ล้านยูโรต่อสินค้าจีนตามคำขู่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐ
“นักลงทุนเป็นกังวลว่าความแข็งกร้าวที่ทั้ง 2 ฝ่ายใช้อาจสร้างความเสียหายต่ออัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกได้” นายเดวิด แมดเดน นักวิเคราะห์ของซีเอ็มซีมาร์เก็ตยูเคกล่าว
อย่างไรก็ตาม นางมาริส อ็อกก์ แห่งบริษัทที่ปรึกษาทาวเวอร์บริดจ์ ระบุว่า เป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่นักลงทุนมีปฏิกิริยาต่อเรื่องนี้น้อยมาก โดยกล่าวว่า “ดิฉันคิดว่าตลาดเริ่มจะเคยชินกับการตอบโต้กันไปมากับจีน”
นักลงทุนยังพิจารณารายงานการจ้างงานประจำเดือนกรกฎาคมของสหรัฐที่ระบุว่าการจ้างงานลดลงเพียงเล็กน้อย ค่าแรงเพิ่มขึ้นในระดับปานกลางแต่อัตราการว่างงานลดลงมาอยู่ที่ 3.9 เปอร์เซ็นต์ และยอดการจ้างงานเฉลี่ยในไตรมาสอยู่ที่ 200,000 ราย
“ในระหว่างสัปดาห์ กองทุนสำรองแห่งรัฐ (เฟด) ออกรายงานภาพรวมทางเศรษฐกิจที่เป็นบวกและบอกใบ้ว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในช่วงปลายปีนี้” นายแมดเดนแห่งซีเอ็มซีมาร์เก็ตยูเค กล่าวและว่า “รายงานการจ้างงานชี้ว่ามีความต่อเนื่องในทางบวกในตลาดแรงงาน และมีน้ำหนักมากพอในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือนกันยายนและธันวาคม”