สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานเมื่อวันที่ 18 เมษายน นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เริ่มออกเดินทางในวันที่ 19 เมษายนไปประเทศซาอุดีอาระเบีย ท่ามกลางความตึงเครียดในรัฐสภาสหรัฐ จากการเสนอผลักดันร่างกฎหมายที่อาจทำให้รัฐบาลซาอุดีอาระเบียถูกฟ้องในศาลอเมริกันถึงวินาศกรรม 11 กันยายน 2544 หรือเหตุการณ์ 9/11
นายโอบามาจะเดินทางถึงกรุงริยาด ในวันที่ 20 เมษายน และพบปะกับสมเด็จพระราชาธิบดีซัลมาน บิน อับดัลอะซิซ อาล สะอูด และเจ้าหน้าที่รัฐบาลซาอุดีอาระเบียรายอื่น แต่ไม่มีข้อมูลยืนยันว่าจะมีการกล่าวถึงร่างกฎหมาย 9/11 หรือไม่ ซึ่งประธานาธิบดีโอบามาเปิดเผยต่อซีบีเอสว่าตนไม่สนับสนุนร่างกฎหมายนี้ ขณะที่ทำเนียบขาวระบุว่าประธานาธิบดีจะใช้อำนาจยับยั้งกระบวนการพิจารณากฎหมายนี้
นายจอช เออร์เนสต์ โฆษกทำเนียบขาวกล่าวว่า “ความกังวลของเราต่อร่างกฎหมายนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องต่อผลกระทบของเราต่อประเทศหนึ่งๆ … แต่ความกังวลที่วิตกคือ ร่างกฎหมายอาจผลักให้สหรัฐอเมริกา ผู้จ่ายภาษี คณะเจ้าหน้าที่ และเหล่านักการทูตของเราเผชิญความเสี่ยงอย่างรุนแรง หากประเทศอื่นๆ นำกฎหมายลักษะเดียวกันมาใช้” พร้อมระบุว่า “เรายังคงเชื่อว่าปัญหาที่เรามีต่อซาอุดีอาระเบียเหล่านี้สามารถจัดการผ่านการทูตได้”
รัฐบาลซาอุดีอาระเบียประกาศเตือนว่ากฎหมายฉบับนี้จะยิ่งทำลายความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศที่มีความตึงเครียดอยู่แล้วให้บานปลายกว่าเดิม ขณะเดียวกัน เมื่อมีนาคมที่ผ่านมา นายอเดล อัล-จูเบอีร์ รัฐมนตรีต่างประเทศซาอุดีอาระเบีย กล่าวกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในกรุงวอชิงตันว่า ซาอุดีอาระเบียจะถูกบีบบังคับให้ขายสินทรัพย์รวม 7.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ที่มีอยู่ในประเทศสหรัฐเพื่อหลีกเลี่ยงมิให้ถูกแช่แข็งโดยอำนาจของศาลสหรัฐ
ผู้ก่อเหตุปล้นเครื่องบิน 15 คน จากทั้งหมด 19 คน ในเหตุการณ์ 9/11 เป็นพลเรือนซาอุดีอาระเบีย แต่ไม่เคยมีการพิสูจน์ได้ว่าทางการซาอุดีอาระเบียสมรู้ร่วมคิดกองกำลังอัลเคด้าในเหตุการณ์จริง
อย่างไรก็ตาม นายซาคารีอัส มุสซาอุย หรือที่รู้จักในนามมือปล้นเครื่องบินรายที่ 20 เปิดเผยต่อทางการสหรัฐว่า สมาชิกของราชวงศ์ซาอุฯบริจาคเงินหลายล้านเหรียญสหรัฐให้อัลเคด้าในช่วงทศวรรษ 1990 ซึ่งสถานทูตซาอุดีอาระเบียให้การปฏิเสธการกล่าวอ้างของนายมุสซาอุย
